mybloglog

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา
อยู่ระหว่างหนีเที่ยว

Search This Blog

Pages

Thursday, September 12, 2013

ลูน่า


นภัสหรือฟ้า กำลังทำอาหารอยู่ แต่น้ำปลาหมดจึงออกไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ขณะจะกลับก็เจอพวกอันธพาล รุมล้อมเด็กสาวชาวต่างชาติอยู่ เขาจึงเข้าไปช่วยเหลือ หลังจากได้รับการขอบคุณจากเด็กสาว ฟ้าจึงทราบว่า เด็กคนนั้นชื่อลูน่าเป็นนักเรียนต่างชาติ กำลังจะย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนของฟ้า และเธอกำลังตามหาบ้านหลังหนึ่งซึ่งพ่อเธอแนะนำให้มาพักระหว่างเรียนอยู่ที่นี่ ซึ่งปรากฏว่าตามที่อยู่ที่เธอได้มานั้นเป็นบ้านของฟ้านั่นเอง ตามจดหมายแนะนำจากพ่อ บอกว่า ลูน่า เป็นลูกนอกสมรสของพ่อของฟ้า ที่น้อยกว่า 1 ปี ฟ้าแม้จะตกใจที่รู้ความจริง และโกรธพ่อ แต่ก็ยอมให้ลูน่าพักที่บ้าน เพราะเด็กสาวต่างชาติคงไม่มีที่พักในประเทศนี้ รุ่งเช้า พวกเขาสองคนไปโรงเรียนด้วยกัน ฟ้าอยู่ ม.5 ลูน่าอยู่ ม.4 ที่หน้าโรงเรียน มินท์ ญาติผู้น้องของฟ้า ซึ่งเป็นสารวัตรนักเรียนที่เคร่งครัดและเรียนอยู่ชั้น ม. 2 โรงเรียนเดี๋ยวกัน ก็เข้ามาต่อว่าฟ้าที่แต่งกายไม่ถูกระเบียบไม่เอาเสื้อเข้าข้างในให้เรียบร้อย ฟ้าทำท่าไม่สนใจ แต่เมื่อโดนมินท์ที่พยายามจะปล้ำจัดเสื้้อผ้าให้ ทั้งสองจึงยื้อยุดกันอยู่หน้าโรงเรียนอย่างไม่สนใจใคร ลูน่าเห็นก็หัวเราะชอบใจ และบอกว่าดูน่าสนุกและสนิทกันดี ฟ้าแนะนำว่ามินท์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน แต่เมื่อมินท์เห็นว่าฟ้ามากับลูน่าก็ตกใจ และพยายามกีดกันลูน่าทันที พร้อมกับบอกว่าเป็นคู่หมั้นของฟ้า และพยายามบอกให้ลูน่าอยู่ห่างๆ ฟ้า ซึ่งเป็นเด็กมีปัญหาของโรงเรียน ที่มักจะมีเรื่องมีราวอยู่เป็นประจำจะดีกว่า และแนะนำให้หาควงหนุ่มที่ดีกว่านี้ เพราะเข้าใจไปว่า ลูน่าเป็นแฟนฟ้า และบอกว่าฟ้าทำเรื่องร้ายๆ เยอะแยะ แถมยังแอบมองมินท์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นประจำ ฟ้าเถียงว่าไม่จริง แล้วบอกว่า ถ้าโกหกระวังจะตกนรก ถูกดึงลิ้น แต่มินท์บอกว่า ไม่มีใครเชื่อเรื่องสวรรค์นรกอีกแล้ว ดังนั้นเธอจึงมีงานต้องไล่จัดการพวกเด็กเกเรเยอะขึ้นทุกวัน ลูน่ามักขึ้นไปยืนเหม่อลอยมองท้องฟ้าอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียน ฟ้ามองเห็นจากหน้าต่างห้องเรียนของตัวเอง คิดว่าลูน่าคงเหงาและคิดถึงบ้านที่ต่างประเทศ จึงตัดสินใจไปปลอบใจ แต่ ลูน่ากลับพูดว่า ผู้คนสมัยนี้ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์กันอีกแล้วสินะ ฟ้าพยายามบอกว่าอย่าไปเชื่่อมินท์ให้มาก แต่ลูน่า กลับบอกว่า จริงๆ แล้วเป็นเพราะสวรรค์ถูกตัดขาดจากโลกไปแล้ว จึงทำให้ผู้คนไม่รู้จักสวรรค์กันอีกแล้ว ฟ้าเริ่มไม่เข้าใจว่าลูน่าพยายามจะพูดอะไร แต่ลูน่าก็ยังพูดต่อไปว่า ทำให้นรกตอนนี้ต้องรองรับมนุษย์ที่ตายไปเยอะจนเกินไป เพราะคนเริ่มหาทางไปสวรรค์กันได้ยากขึ้น ฟ้าเริ่มไม่รู้จะพูดอะไร หลายวันต่อมา ฟ้าก็ได้ช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้จากพวกอันธพาลอีกครั้ง เธอเป็นรุ่นพี่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกันได้ไม่นานนัก ชื่อ จุฬาภรณ์ หรือดาว ฟ้าสังเกตุได้จากชุดและดาวบนอกเสื้อของเธอ และเธอยังเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดของโรงเรียนอีกด้วย ต่อมาพวกอันธพาลส่งจดหมายเรียกให้ฟ้าออกไปพบพร้อมกับแนบโบว์ที่เหมือนกับของดาว พอฟ้าไปพบก็โดนมัลลิกาซึ่งใส่ชุดนักเรียนแกล้งทำตัวเป็นดาวซ็อตด้วยที่ซ็อตไฟฟ้าแล้วโดนรุมทำร้าย ขณะที่กำลังจะแย่นั้น ลูน่า ก็โผล่ออกมาพอดี แล้วใช้พลังฝ่ามือที่เหมือนกับพลังลมปราณจัดการกับพวกอันธพาลจนหมด แต่มัลลิกา กลับหนีไปได้ไวกว่าที่คิด ต่อมามีคดี มีคนถูกดูดเลือดหลายคดี ดาว ซึ่งมีผิวสีขาวซีดและเก็บตัวอยู่แต่ในห้องสมุดไม่ยอมโดนแสงแดด ถูกคนในโรงเรียนสงสัยรวมถึงลูน่าก็เชื่อด้วย และลูน่าก็เหมือนจะมุ่งมั่นตามหาคนร้ายมาก ฟ้าจึงชวนดาวเดทด้วยการไปดูหนังด้วยกันในคืนวันศุกร์ มินท์แสดงอาการหึงหวงฟ้าชัดเจนแต่ต้องออกลาดตระเวณจึงขัดขวางทั้งคู่ไม่ได้ โดยมีลูน่าขอเป็นผู้ช่วยลาดตระเวณด้วย มินท์เมื่อรู้ว่าลูน่าเป็นน้องสาวของฟ้าก็ให้ความสนิทสนมเป็นอย่างมาก แต่ระหว่างที่ฟ้ากับดาวดูหนังอยู่ด้วยกันนั้นก็ยังมีเหตุมีคนถูกดูดเลือด ทำให้ฟ้ามั่นใจว่าดาวไม่ใช่ผีดูดเลือด ปัญหาคือ แล้วใครล่ะ ที่เป็น... เหลือ ลูน่าอีกคน ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในช่วงนี้ แต่รายนั้นก็มุ่งมั่นที่จะจับตัวคนร้ายมากนี่นา ...หรือว่า?

Monday, March 5, 2012

แม่น้ำแห่งโลกหลังความตาย

ดินแดนแห่งความตาย

เมื่อเดินทางจากปากทางสู่ยมโลก ก็จะพบแม่น้ำแอคเคอรอน (Acheron) แม่น้ำแห่งความวิปโยคหรือความเจ็บปวด

แม่น้ำสายนี้เป็นสีดำสนิท ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโคไซตัส (Cocytus) หรือ โคซีตุส (Cocetus) แม่น้ำแห่งความกำสรวล

เป็นแม่น้ำที่เกิดจากน้ำตาของผู้ถูกทรมานในนรก จึงมีรสเค็ม (แล้วใครหนอที่กล้าชิมน่ะ)

จุดบรรจบกันของแม่น้ำสองสายนี้มีคนแจวเรือ ชื่อ เครอน หรือ ชารอน (Charon) คอยพาวิญญาณข้ามฟากไปสู่นรก

ด้วยค่าจ้างเที่ยวละ 1 โอโบล (ราว 1 เพ็นนีครึ่ง) วิญญาณดวงใดไม่มีค่าจ้างจ่ายให้ (คือวิญญาณที่ไม่ได้ประกอบพิธีศพ

ญาติไม่ได้ให้ "เงินปากผี" มาด้วย) ก็จะถูกปล่อยให้รออยู่ 100 ปี ชารอนจึงยอมพาข้ามให้ฟรีๆ (งกแฮะ)

นอกจากแม่น้ำสองสายนั้นแล้ว ก็ยังมีแม่น้ำอีก 3 สายในนรก

- แม่น้ำสติกซ์ (Styx) แม่น้ำแห่งความเกลียด เป็นแม่น้ำสาบานของเหล่าทวยเทพ ซึ่งถ้าอ้างคำสาบานต่อ

แม่น้ำสายนี้ แล้วจะผิดคำสาบานไม่ได้ (อันนี้กระผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ขนาดเทพซีอุสเอง ยังต้องยอมปล่อยให้

ชายาองค์หนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ ตายไปต่อหน้าต่อตา เพียงเพราะไม่ต้องการผิดคำสาบานต่อแม่น้ำนี้) และแม่น้ำนี้เอง

ที่นางอัปสรธีทิสเอาลูกๆทั้ง 7 (หนึ่งในนั้น คือ อคิลลิส (Achilles)) จุ่มลงไปเพื่อให้คงกระพันเป็นอมตะ ลูก 6 คนเป็นอมตะหมด

เพราะ ได้รับการจุ่ม 2 ครั้ง ครั้งแรกจับข้อเท้าแล้วจุ่มตัวลงไป ครั้งที่ 2 ก็จับส่วนอื่น เพื่อจุ่มเท้าลงไปแทน จึงเป็นอมตะทั้งตัว

แต่อคิลลิสมีจุด อ่อนตรงข้อเท้าเพราะถูกจุ่มลงไปครั้งเดียว พอจะจุ่มครั้งที่ 2 พ่อกลับมาขัดขวางไว้ (ผัดไว้เล่าคราวหน้าครับ

เดี๋ยวหมดเรื่องไว้หากิน แหะๆ) ในหนังสือ โลกที่เราไม่ได้เลือก ของเสริมศรี เอกชัย กล่าวว่า ชารอนพายเรือพาข้ามแม่น้ำ

สติกซ์นี้ต่างหาก

- แม่น้ำลีธี หรือ เลเธ (Lethe) แม่น้ำแห่งความลืม เมื่อดวงวิญญาณดื่มน้ำในแม่น้ำนี้ ก็จะลืมอดีตทั้งหมด

(บางทีผมก็อยากได้สักอึกหนึ่งเหมือนกันครับ)

- แม่น้ำเฟลจีธอน หรือ เฟลเกทธอน (Phlegethon) เป็นแม่น้ำไฟ ที่มีเปลวไฟลุกท่วมตลอดเวลา

ล้อมรอบนรกขุมที่ลึกที่สุด... ทาร์ทะรัส

วิญญาณที่ข้ามแม่น้ำมาแล้ว ก็จะพบประตูสู่แดนอีเรบุส หรือ เออรีบัส (Erebus) ที่มีเซอร์บีรัส

สุนัข 3 หัว หางมังกร เฝ้าอยู่ มันจะยอมให้เพียงคนตายเท่านั้นที่ผ่านเข้าไป และไม่ยอมให้ย้อนกลับมาเด็ดขาด

(แล้ว คนเป็นๆ 5 คนที่ผ่านไปเจอฮาเดสได้ล่ะ เฮรากลิสใช้กำลังจับเซอร์บีรัสไป กับออร์ฟิอัสดีดพิณ

กล่อมเซอร์บีรัสจนหลับ นี่ยังพอเข้าใจ แต่ไซคี แค่โยนขนมให้กิน ก็ผ่านไปได้แล้ว สุนัขที่ไหนก็ยังคงเป็นสุนัขเนาะ (- -"))

เมื่อผ่านประตูมาก็จะถูกตัดสินบาป จาก 3 ตุลาการแห่งยมโลก ได้แก่ ราดาแมนทิส (Rhadamanthys)

ไมนอส (Minos) และ อีเอคุส (Eacus หรือ อือคัส (Aeacus)) ผู้ทำบาปไว้มากก็จะถูกส่งไปลงโทษ

ส่วนผู้ทำความดี หรือผู้ที่มีเชื้อสายเทพเจ้า (เด็กเส้น (- -")) จะถูกส่งไปที่ทุ่งเอลีเซียน (Elysian) ซึ่งเป็นทุ่งที่มี

ดอกไม้สวยงามบานอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นแดนสุขาวดีของกรีก (สวรรค์บนยอดเขาโอลิมปัส สงวนไว้ให้ซีอุส

และ วงศ์วานว่านเครือเท่านั้น)

ในยมโลกแบ่งเป็นหลายแดน มีทั้งแดนกักกัน ที่ขังวิญญาณเพื่อรอลงทัณฑ์ หรือแดนพักฟื้น สำหรับ

วิญญาณ ที่รอไปเกิด แต่วังของฮาเดสไม่มีตำราไหนกล่าวถึงว่าตั้งอยู่ตรงส่วนไหน นอกจากนี้ ฮาเดส ยังถือเป็น

เจ้าแห่งทรัพย์ด้วย เพราะแร่ธาตุมีค่าทั้งหมดใต้ดินก็ถือเป็นของเทพฮาเดส ชาวโรมันจึงเรียกฮาเดสอีกชื่อหนึ่งว่า

ดิส (Dis) แปลว่าทรัพย์

นอกจากตุลาการทั้ง 3 แล้ว ในยมโลกยังมีเทวีทัณฑกร หรือภูตพยาบาทอีก 3 องค์

เรียกว่า อีริเนียส (Erinyes) หรือ ฟิวริส (Furies (ภาษาอังกฤษ), Furiae (ภาษาละติน))

ซึ่งเกิดจากเลือดของยูเรนัส เมื่อครั้งถูกเคียวของโครนัส ฟิวริสทำหน้าที่ลงทัณฑ์วิญญาณบาป

และแม้ กระทั่งคนบาปที่ยังไม่ตายก็อาจถูกตามล่ารังควาญ เพื่อเอาตัวไปลงโทษได้เช่นกัน

มีกันอยู่ 3 นาง พี่น้อง ได้แก่

- อเล็กโต (Alecto) เป็น ผู้ตามล่า

- มีเกร่า (Megaera) เป็น ผู้เคียดแค้น

- ทิซิโฟน (Tisiphone) เป็น ผู้ล้างแค้น

ทั้ง 3 นางมีลักษณะดุร้ายน่ากลัว แต่งกายด้วยผ้าสีดำ หน้าเหมือนสุนัข ลิ้นยาวห้อยร่องแร่งถึงทรวงอก

นัยน์ตากลวงโบ๋กลอกกลิ้งได้ มีงูพิษพันยั้วเยี้ยบนศีรษะ มีปีกเหมือนค้างคาว เล็บงองุ้มเหมือนเหยี่ยว

มือ หนึ่งถือขวาน มือหนึ่งถือคบไฟ

ข้างบัลลังก์ของฮาเดส ยังมีหญิงชราพี่น้อง อีก 3 นาง รวมเรียกว่า โชคชะตา (Fates)

- คนเล็กปั่นฝ้าย หมายถึง การสร้างเส้นชีวิต

- คนกลางฟั่นเป็นเชือก หมายถึง การทำชีวิตให้มั่นคง

- คนโต ตัดเชือกนั้นด้วยกรรไกร หมายถึง ความตาย

Tuesday, January 24, 2012

วันที่ २४ มกราคม २५५५ เวลา २२.१५ น.

วันที่ 24 มกราคม 2555 เวลา 22.15 น. ที่หนองจอก มีนบุรี
ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ เกือบๆ 20 กิโลฯ อยู่ๆ บ้านผมก็สั่นสะเทือนเพราะเสียงกระแทกมาจากเครื่องบินที่บินผ่านเหนือหลังคาบ้าน ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความตกใจ และสงสัย ผมจึงรีบออกไปนอกระเบียงเพื่อสังเกตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จากระเบียงบ้านผมเนื่องจากปล่อยโล่งจึงมองเห็นท้องฟ้าได้ค่อนข้างกว้าง
จากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผมมองเห็นสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเครื่องบินจากแสงไฟที่ส่องอยู่บนฟ้า ปรากฏว่ามีเครื่องบินอยู่สองลำบินอยู่ในทิศทางเดียวกันในขณะนั้น
เครื่องแรกบินอยู่ในระดับที่สูงกว่าเห็นโดยจากการมองจากแสงไฟของตัวเครื่อง และเสียงที่ไม่ปรากฏให้ได้ยินแล้ว แต่อีกลำซึ่งบินตามหลังลำแรก และบินอยู่ในระดับต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด และส่งเสียงคำรามดังกว่าเป็นอย่างมาก สามารถได้ยินแม้เครื่องจะผ่านพ้นตัวบ้านไปแล้ว และที่น่าตกใจคือความเร็วของเครื่องที่สองซึ่งเห็นได้ชัดว่าเร็วกว่าเครื่องลำแรกมาก ทั้งๆ ที่ไล่ตามแต่ในที่สุดก็สามารถตามคันแรกทันและแซงลำแรกไปได้อย่างรวดเร็ว และแม้แต่เสียงยังรู้สึกได้ว่าเสียงตามหลังเครื่องอยู่เสียอีก
เครื่องบินลำที่สองเมื่อตามลำแรกทันก็ตีโค้งจากการมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือกลับมาเป็นมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้แทนในทิศทางที่น่าจะไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วลำแรกก็บ่ายหน้าตามคันที่สองที่แซงแล้วตีโค้งไปแล้วนั้น ทันทีที่เครื่องลำที่สองกลับลำได้
ผมไม่สันทัดเรื่องวิธีการบิน กฏหมายการบิน หรือกฏการบินใดๆ จึงไม่แน่ใจในข้อสันนิษฐานนี้นัก แต่คิดว่า
การที่เครื่องบินสองลำบินในระดับไม่ต่างกันมากและเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือน่าจะเรียกได้ว่าทับเส้นทางกันนั้้น ไม่น่ามีการกระทำเช่นนั้นเพราะคิดว่าอาจจะเกิดอันตรายได้ แต่เครื่องบินสองลำที่ผมเห็นในคืนนี้นั้นกลับบินในทิศทางเดียวกันและใกล้กันขนาดนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าจะผิดวิสัย อีกทั้งเสียงอันดังผิดปกติของเครื่องบินลำที่สอง และความเร็วในการบินอันเหนือกว่าเครื่องลำแรกนั้นก็ทำให้แปลกใจได้โขทีเดียว ไหนจะเป็นการบินที่ค่อนข้างต่ำสำหรับเครื่องลำที่สองอีกด้วย ไหนจะบินเหมือนกับมาตามให้เครื่องลำแรกให้ตามกลับไปนั้นอีก การบินก็ไม่เรียบเหมือนเครื่องที่เคยเห็นผ่านบ้านผมตามปกติ แต่ดูเหมือนจะส่ายไปมานั้นอีก
หวังว่าคงไม่มีอะไรแค่ผมคิดมากไปเองแต่ พรุ่งนี้ผมน่าจะลองติดตามเรื่องนี้ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


บันทึกไว้เป็นข้อช่วยจำ

22.39 น.
วันเดียวกัน

Tuesday, December 20, 2011

คดีผี พี่-น้อง

“พี่... มารับหน่อยสิ!!!”
เสียงหลานชาย ดังมาตามสายโทรศัพท์
ผมพึ่งกลับมาจากการออกงานที่ต่างจังหวัดพอเข้าบ้านมาได้
ยังไม่ทันได้ทำอะไร แม้แต่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากสะบัดเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนาที่คลุมทับอยู่บนตัวให้หลุดออกไปได้
ก็ม้วนตัวตีลังกาก่อนจะสปินเกลียวอีก 2 รอบครึ่ง ลงสู่เตียงนอนอันอ่อนนุ่ม
เพียงกายสัมผัสแล้วเด้งขึ้นไปได้เพียง 2 ที
ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมารบกวนการนอนของผมซะงั้น //แง่งๆ....กรรซ์

ทันที ที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ยามนี้ ผมแทบจะเขวี้ยงมันทิ้งทันที ถ้าไม่ติดแต่ว่า...
กลัวจะเป็นธุระสำคัญอันอาจเกี่ยวข้องกับเงินทองที่สมควรต้องได้ ภายในเดือนนี้
ที่หวังเอาไว้ว่า จะได้มาช่วยซ่อมแซมบ้านเสียบ้าง
หลังจากที่น้องน้ำตามมาอาละวาด โมโหหึง เสียจนพังป่นปี้ยับเยิน

หลานชายที่พึ่งกลับจากหนีน้ำไปอยู่บ้านนอกที่ภาคเหนือ กลับมาจากเชียงใหม่ เมื่อหลายคืนก่อน..
โทรมาขอให้ออกไปรับเสียงเหมือนอึกอักอยู่ในลำคอ
“ได้ๆ แล้วจะให้ไปรับที่ไหนเมื่อไรล่ะ?” ผมถาม
ทั้งที่ยังติดใจสงสัย ว่ามันโทรมาให้ไปรับอะไรป่านนี้วะ?
แม้จะหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอน แต่..
หลานชายไม่ใช่คนที่จะโทรมากวนเล่นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ
เพราะผมเลี้ยงมากับมือทำให้รู้จักนิสัยหลานคนนี้เป็นอย่างดี
และจึงทำให้เขามีนิสัยคล้ายกันกับผมมาก
“บ้านผม... ตอนนี้เลยพี่!!!”
“อ้าว..! แล้วรถแกละ?” ผมถามอีก
“ แฟนผมเอาไป...” สังเกตน้ำเสียงคล้ายจะสั่นๆ
“ อ้าว..! แล้ว...!! รถแฟนแกละ??” ผมยิ่งถามก็ยิ่งสงสัย
ขณะที่หยิบแจ็คเก็ต ตัวที่พึ่งขว้างทิ้งบนโซฟาเมื่อกี้ขึ้นมาสวมทับ ชุดที่ใส่อยู่กันอากาศหนาวที่เพิ่งเข้ามาถึงในปีนี้
“พี่แฟนผมเอาไป...” (เสียงเริ่มเหมือนจะร้องไห้)
“แล้วรถพี่แฟนแกละ?” ผมล่ะอยากจะถามต่ออย่างนี้เหลือเกิ้น แต่ก็ยั้งปากไว้ได้
ไม่งั้นอาจมีการถามต่อกันไปจนถึงรถของพี่สาวของเพื่อนของเพื่อนของแฟนมัน!!! //(ว้อย.. หุดหิดสิ้นดี)

ผมเงยหน้ามองนาฬิกาอีกที ตี 4.25 นาที....
“ทะเลาะกับแฟนรึไงวะ..?” ผมอาศัยเดาเอาจากน้ำเสียง
ปกติไอ้คู่นี้ มักไม่ค่อยทะเลาะกัน แม้จะคบๆ เลิกๆ กันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
แต่หลานชายผมส่วนใหญ่จะยอมตามเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยเห็นมันทะเลาะกันมากนัก
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทะเลาะกันฝ่ายเดียวของผู้หญิงเสียมากกว่า
“เปล่าพี่.....” เออแน่ะ ถามคำตอบคำ มีอะไรก็ไม่พูด อึกอักอยู่ได้ ไม่ใช่นิสัยมันเลยนะนี่ ผมคิด..
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไรละเนี่ย ? ” ผมเริ่มประหลาดใจกับอาการของหลานชาย
ขณะที่อีกมือถือโทรศัพท์ อีกมือก็คว้ากุญแจรถ เตรียมออกจากบ้าน
“พี่มาตอนนี้เลยนะ....” แทนที่จะตอบ กลับเป็นคำอ้อนซะงั้น
“เออ.. ได้ๆ กำลังออกไปแล้ว มีไรก็ใจเย็นๆ ไว้นะ” ผมพูดพร้อมกับปิดประตูบ้านล็อกกุญแจ
ขณะที่ต้องอาศัยเอียงคอเพื่อหนีบประคองมือถือที่อยู่ข้างหู

หลังวางโทรศัพท์ไว้บนเบาะรถ ผมก็รีบขับออกจากบ้านทันทีด้วยความร้อนใจ
ด้วยไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับหลานชาย
ผมปาดรถไปมา บางครั้งก็ต้องลงไปลุยในน้ำที่ยังมีท่วมขังอยู่เป็นบางแห่ง
แข่งกับเวลา ให้เร็วที่สุดที่จะไปบ้านหลานชาย
แต่การจราจรช่วงนี้ยังค่อนข้างติดขัดแม้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก
แต่เพราะยังมีน้ำท่วมขังจากมหาอุทกภัยไทยแลนด์
ทำให้การเดินรถเป็นไปได้เพียงช่องทางเดียว
ซึ่งนั้นทำให้การจราจรเป็นไปได้โดยลำบากพอสมควรอยู่

น้ำกระเซ็นจากล้อรถผมที่บดลุยลงไปในแอ่งน้ำขังหน้าบ้าน
ก่อนหยุดกึกลง ตรงด้านหน้าของทาวน์เฮ้าส์สองชั้นที่ตั้งอยู่ในซอยลึกเกือบสุดซอย พอดี

หมู่บ้านเงียบดั่งสุสาน
บรรยากาศหมู่บ้านร้างนั้นไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด
หลังจากชาชินเสียแล้วกับการเข้าไปยังซากสถานหมู่บ้านที่ผู้คนพากันอพยพจนเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้าง
ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่พึ่งผ่านมา

กว่าจะถึงบ้านหลาน ซึ่งอาศัยเอาทาวน์เฮาส์ เป็นโรงงานรับสกรีนเสื้อผ้า ก็เกือบเช้า
เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็เพียงรำไร
“ทไวไลท์”
ช่วงเวลาเช่นนี้ก็เรียกแบบนั้นได้เช่นกัน
แม้บางคนจะเข้าใจไปว่า “สนธยา” เป็นเพียงช่วงก่อนค่ำเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว สนธยาคือช่วงเวลาโพล้เพล้ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งสองเวลา ไม่ว่าจะก่อนค่ำหรือก่อนสว่าง

“หวัดดีครับ” ผมทักคนที่นั่งม้านั่งหน้าบ้านหลานชายขึ้นก่อน
“หวัด... ดี.. ครับ” เขาหันมายิ้ม แล้วตอบรับช้าๆ เหมือนจะจำไม่ได้ว่าผมเป็นใคร
“แมน อยู่ไม๊ ครับ?” ผมถามต่อ
“อ้อ... อยู่ครับ พี่!” ดูเหมือนเขาจะนึกได้แล้วว่า ผมเป็นพี่ ของหลานชายผม (งงไม๊เนี่ย)
“อยู่ข้างบนครับ” วางมือจากแก้วเหล้าแล้วชี้ขึ้นไปที่ชั้นสอง
(อีกมือถือขวดไม่ยอมวาง =*=)
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม ตอบขอบคุณ แล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะจิ้มเบอร์ กดสายเรียก
“ตู๊ดดดดดด”
แต่.. เสียงโทรศัพท์ชิงดังขึ้นมาเสียก่อน
“เออ.... พี่มาถึงบ้านแล้วนะ เปิดประตูที” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายโทรศัพท์
“พี่.... คุย. กับ ใคร อ่ะ?” เสียงตะกุกตะกักสั่นตามสายมาเลย
ทำเอาผมคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็... คนข้างบ้าน” ผมเบาเสียงลง
เหลือบตาไปมองคนนั่งหน้าบ้านแวบหนึ่ง ราวกับกลัวเจ้าตัวได้ยิน พร้อมกับยิ้มให้
ลูกบิดประตูไม่ได้ล็อกเมื่อผมบิดแล้วผลักมันเข้าไป
“อยู่ไหน???” ผมถามขณะเดินหลบข้าวของระเกะระกะในห้องด้านล่าง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ ที่ใช้สำหรับสกรีนแผ่นผ้า
“ชั้นบน” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ
ได้ยินเสียงพวกลูกน้องในโรงงานมันดังอยู่ข้างหลังแทรกเข้ามาในสายด้วย
“.......พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร......?” เสียงหลานผมยังคงถามมาตามสายเสียงสั่น
ปัญหาเชาว์มั้งเนี่ย ผมคิดพร้อมขมวดคิ้ว แต่ก็หัวเราะไปด้วยเบาๆ
เมื่อรู้ว่าหลานชายยังปลอดภัยดี
แค่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง
“ก็คนข้างบ้านไง ที่เคยมากินเหล้ากับพวกเอ็ง ....ไม่ใช่เรอะ?” ผมปิดโทรศัพท์เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นบน
แล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นพวกมันทั้งลูกพี่ลูกน้องรวม 4 คน
ไปรวมหัวนั่งเบียดเสียดจุ้มปุกกันอยู่ที่มุมด้านในของห้อง หน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางตื่นตระหนก
ผมผาย 2 มือ ขึ้นข้างตัวระดับไหล่พร้อมเลิกคิ้ว เป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะก้าวขึ้นมาจากบันไดเข้าไปหา
“พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร?” เออแน่ะ ยังไม่เลิก ไอ้นี่..!!
ผมชักไม่ชอบใจ มันไม่ชอบมาพากลแล้วแบบนี้
“ก็.....” ผมค้างไว้แค่นั้น พร้อมกับมองตาพวกหลานชายเขม็ง
หมายจะค้นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในใจ
“คนพี่หรือคนน้อง?” หลานผมยังคงถามผมอีก
“คนน้องสิ” ผมตอบห้วนๆ ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่มียิ้มที่หน้าแล้วตอนนี้ มีแต่คำถามมากมายอยู่ในหัว
“พี่ไม่รู้เหรอ.....?” คนพูดหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะต่อว่า
“ว่าคนน้องน่ะ มันโดนพี่ชายฟันหัวตายไปตั้งหลายวันแล้ว!!!” คนพูดทำท่าจะร้องไห้ พร้อมกับพวกลูกน้องที่กำลังทำตัวเป็นขุนพลอยพยัก พยักหน้าถี่รัว ส่งสายตาน่าสงสารมายังผม


++++++++++++++++++

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ลงไว้ในหน้าหนึ่ง มุมล่างซ้ายมือ ว่า..
ฆ่าน้อง... จนท. มูลนิธินำศพ นาย ข(นามสมมติ) ขึ้นจากบ่ออึหลังบ้านเลขที่ 72/11 ซอย นวมินทร์ 88 แยก 3-13 หลังถูกนาย ก(นามสมมติ) ( รูปเล็ก ) พี่ชายแท้ๆ ทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วนำศพมาทิ้งอำพราง (ขออภัยที่ต้องสงวนชื่อจริง)

++++++++++++++++++

หลานชายผมเล่าให้ฟังว่า..
พอพวกตัวเองกลับมาจากต่างจังหวัด ก็เริ่มทำงานกันเพราะงานค้างเยอะมากช่วงน้ำท่วม
เลยไม่ทันได้สังเกตว่าข้างบ้านซึ่งพี่น้องจะทะเลาะกันเป็นประจำแทบทุกวัน ช่วงนี้ไม่มีเสียงทะเลาะกันอย่างเคยเลย ส่วนพวกลูกน้องในโรงงานบางคนก็เห็นบางคืนคนน้องเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน พร้อมทั้งถือไม้ถูพื้นขัดถูอะไรบางอย่างอยู่ทั้งคืน ซึ่งปกติไม่เห็นทำ อีกทั้งคนพี่และแฟนของคนน้องซึ่งปกติจะเจอเป็นประจำก็ไม่มีใครเห็น บางคืนก็ได้ยินเสียงลากอะไรบางอย่างอยู่บนบ้านซึ่งอยู่ติดกับทาวน์เฮาส์ของพวกหลานชายผมไปมาด้วย แต่ก็ไม่มีใครได้สนใจอะไรเพราะงานมันยุ่ง

จนกระทั่ง
เมื่อวานตอนเย็น ก่อนค่ำ
ป้าข้างบ้านก็เข้ามาเก็บของจะย้ายออก
พอเห็นเข้า หลานชายผมเข้าไปทักไปถามอย่างคนคุ้นเคยกันประมาณว่า
“จะขนของไปไหนเหรอป้า” อะไรประมาณนั้น
พอป้าแกเห็นหลานชายผมก็ทำหน้าตาตื่น ดึงแขนเสื้อเข้าไป แล้วกระซิบเล่าให้ฟังว่า
“โอ้ย.. อยู่ไม่ได้แล้วพ่อแมน มันมาแทบทุกคืน”
“มันมา...? อะไรมาป้า??”
“ก็ผี ไอ้ ข น่ะสิ มาปรากฏตัวทุกคืน จนคนแถวนี้เค้าอยู่กันไม่ได้แล้ว”
“..........” หลานผมถึงกับงง อ้าปากค้าง เพราะมันแน่ใจว่ามันยังเจอๆ อยู่ แล้วไปตายตอนไหนกันวะนี่?

ในตอนแรกหลานชายผมก็ไม่เชื่อ
เมื่อป้าแกเล่าให้ฟังว่า
เมื่อ 23.30 น.วันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันออกมาจากบ้านของ นาย ก และนาย ข พร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า “ อย่าฟัน ๆ ” หลายครั้ง ก่อนจะเงียบหายไป จึงได้แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ จนกระทั่งพบศพ ตำรวจคาดว่า คนร้ายที่ฆ่านาย ข น่าจะเป็น นาย ก อายุ 32 ปี พี่ชายแท้ๆ ของผู้ตายที่พักอยู่ด้วยกัน มีอาชีพเป็น รปภ.หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากบ้านหลังเกิดเหตุ สองพี่น้องมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกครามต้องมาระงับเหตุเสมอ
ต่อมา เมื่อเวลา 04.30 น. วันเดียวกัน พ.ต.ต.จุมพล พร้อมกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.โคกคราม สามารถจับกุมตัวนาย ก ได้ที่ถนนรัชดาภิเษก-รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม สอบสวน นาย ก ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้สังหารน้องชายแล้วนำศพไปทิ้งในบ่ออุจจาระหลังบ้านเพื่ออำพรางคดี สาเหตุมาจาก น้องชายชอบทำร้ายตนเองเป็นประจำ โดยก่อนเกิดเหตุผู้ตายต้องการให้ตนกินเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปทำงาน แต่ตนต้องไปทำงาน น้องชายจึงไม่พอใจตรงเข้าทำร้ายร่างกาย จึงเกิดบันดาลโทสะ คว้ามีดฟันน้องชายจนเสียชีวิต ก่อนจะลากศพไปทิ้งในบ่ออุจจาระ แล้วหลบหนี แต่ไม่รู้จะไปไหนเลยไปเดินเตร่ที่ถนนรัชดาภิเษก-รามอินทรา จนถูกตำรวจจับกุมตัวได้ และถูกควมคุมตัวเป็นผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีต่อไป
ป้าแกบอกว่า ตอนที่ป้าแกเห็น
นาย ก ก็ลากศพ น้องชาย ไปมาอยู่บนบ้าน
คงจะหาที่ทิ้งศพ
ดังนั้นตอนที่มูลนิธิไปพบศพ รอยเลือดจึงเปรอะไปทั่วบ้าน
ก่อนจะไปหยุดที่บ่อปฏิกูล จึงทำให้ตำรวจหาศพได้ไม่ยาก
พอทิ้งศพลงบ่อปฏิกูล ตัวพี่ชายก็หนีออกจากบ้านไป
แต่ไม่รู้จะไปไหนเลยเดินไปเดินมาแถวๆ ที่ทำงาน
จนถูกจับ

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพี่ชายจึงไม่หนีไปให้ไกล ไหนๆ ก็จะหนีแล้ว
ความจริงของคดีนี้ที่ไม่ได้เขียนในหน้าหนังสือพิมพ์แต่พวกผมรู้ก็คือ
คนพี่นั้นสติไม่ค่อยดีเท่าไร
ออกจะขาดๆ อยู่บ้าง
ดังนั้นน้องชายจึงมักจะคอยตำหนิผู้พี่อยู่เสมอ
จนทะเลาะกันเป็นประจำ
รวมถึงเรื่องที่น้องชายชอบทะเลาะกับแฟนสาว
จนผู้เป็นพี่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นประจำอีก
เมื่อพี่ชายพยายามไปขอให้น้องชายกับแฟนไม่ให้ทะเลาะกัน
เพราะเขาจะนอนไม่พอแล้วจะไปทำงานเป็น รปภ. ได้ไม่เต็มที่
น้องชายก็จะพาลทะเลาะเอากับพี่ชายด้วย
ทำให้ผู้เป็นพี่คงรู้สึกเก็บกดไม่น้อย
จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาเช่นนี้

ทั้งๆ ปกติต่อหน้าพวกเรา เขาก็ค่อนข้างยิ้มแย้มดีเสมอ
แต่ไม่ค่อยได้มากินเหล้าร่วมกับพวกในโรงงานหลานชายผมเช่นคนน้องเท่านั้น
ส่วนคนน้องนั้นมาบ่อย
เพราะที่หน้าทาวน์เฮาส์ของหลานชาย
พวกลูกน้องในโรงงานจะเอาโต๊ะมาตั้ง
แล้วกินเหล้าอยู่เป็นประจำ
ซึ่งก็คือจุดที่ผมเจอคนน้องเมื่อกี้นั้นเอง

พวกหลานชายก็เคยเตือนๆ ว่า
อย่าไปว่าพี่ให้มากเพราะสงสาร
แต่คนน้องก็ไม่ฟัง
เมื่อเค้าไม่ฟังก็ไม่มีใครอยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นอีกมากนัก
จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
จนกระทั่ง
มาเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเช่นนี้

เมื่อโบกมือให้กับป้าข้างบ้าน ซึ่งขนของขึ้นรถหนีไปแล้วนั้น
หลานชายผมก็ได้แต่ส่ายหัว ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
แต่ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นให้ถามอีก
เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะลองไปสืบดู

แต่ตอนนั้นทั้งลูกพี่คือหลานชายผมและลูกน้องมันก็เจอกับคนน้องแล้วทุกคน
บางคนก็เจอที่หน้าบ้าน บางคนเห็นทำความสะอาดพื้นบ้านอยู่ในบ้าน บางคนเห็นเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น
แต่ไม่มีใครได้พูดได้คุยกับคนน้องที่เจอกันเลยสักคน
ส่วนคนพี่ที่ถูกจับไปหลายวันก่อนแล้วนั้นก็ไม่มีใครได้เจอ

กลางดึกคืนนั้น
ขณะที่กำลังเร่งงานกันอยู่จนล่วงเข้าเช้าของอีกวัน
ไอ้เอิ๊ก หนึ่งในลูกน้องของหลานผม ก็กระโจนข้าม โต๊ะวางแบบงาน
เข้ามาในโรงงานพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ
“อะไรกันวะ วิ่งพรวดพราดเข้ามาได้ไง” เสียงต่อว่าจากเพื่อนๆ ดังกันขรม
หลานผมเองก็ลุกขึ้นจากงานขึ้นมามองมันอย่างงงๆ
“พี่แมนๆๆๆ...” ไอ้เอิ๊กเรียกเสียงสั่นรัว
“อะไรกันวะ?” หลานผมสะบัดมือเปื้อนสีให้แห้งแล้วถาม
“นี่ๆๆๆๆๆๆๆ” แทนที่จะตอบ มันกลับส่งหนังสือพิมพ์ให้แทนพร้อมกับชี้ไปที่รูปๆ หนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์
มองหน้าคนพูดอย่างงุนงง ก่อนจะก้มลงอ่านข่าวที่ทำให้ลูกน้องตกใจถึงกับรีบเอามาให้ดูขนาดนี้
“เฮ้ย.....!!!” ลูกพี่ประจำโรงงานครางเบาๆ อย่างตกตะลึง เมื่อเห็นข้อความข่าว อย่างแทบไม่เชื่อสายตา
เรียกให้พวกลูกน้อง พากันเข้ามามุงดูอย่างสงสัย

ใช่ครับ !!
มันคือ “ข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 26 พ.ย. 2554”
ซึ่งมีข่าวของพี่น้องคู่นี้ปรากฏอยู่บนหน้าแรกสุด

“เฮ้ยๆๆๆๆๆๆ!!!!” เสียงอุทานกันอย่างทั่วถ้วนเมื่อเห็นข่าวที่แย่งกันอ่าน

ทันใดนั้น!!!
“ครืด ครืด.. ครืด” เสียงลากอะไรบางอย่างหนักๆ ครูดไปกับพื้น ก็ดังมาจากบ้านข้างๆ ที่อยู่ติดกัน
ชาวโรงงานหันมองหน้ากันก่อนจะมองไปที่หน้าต่าง แล้ว เห็น.....
“คนน้องที่น่าจะตายไปแล้วตามข่าว กำลังลากถังน้ำ เข้าไปขัดล้างพื้นซึ่งเคยเต็มไปด้วยเลือด”
“พอรู้ตัวว่ามีคนมอง”
“ชายคนนั้นก็หันหน้ามองกลับมาบ้าง มองเห็นหน้าข้างซ้ายซึ่งเต็มไปด้วยรอยของมีคมฟันจนยับไปทั้งซีกอย่างถนัดถนี่ มองตรงมายังกลุ่มคนดู แล้วแสยะยิ้มเลือดทะลักออกจากทั้งปาก จมูก และรอยแผล”

---
------
-----------


“แล้วงานคืนนี้ละพี่?” ใครบางคนในกลุ่มถามขึ้น
“ไม่ต้องแล้วว่ะ ....ค่อยๆ ออกจากบ้านนะ อย่าให้มันรู้ตัว!!” พูดจบคนพูดก็พุ่งไปที่ประตูทันที

ไอ้แมนเป็นคนแรกที่ออกประตูไปได้แต่แล้วก็ถอยกลับเข้ามาแล้วปิดประตูเอาไว้อย่างเดิม
ลูกน้องมันตามมาติดๆ พรวดออกจากประตูไป แม้จะงงๆ ว่าลูกพี่มันจะย้อนกลับเข้าไปทำไม
แต่แล้วก็หันกลับมาดันเอาพวกที่พยายามออกประตูไปให้กลับเข้าบ้าน...
ดันกันอยู่อย่างนั้น!?

แต่แรงคนเดียวรึจะสู้หลายคน
พอคนที่เหลือพ้นประตูได้เท่านั้นก็หันพรวดพราดกลับเข้ามาข้างในตามเดิม
แล้วปิดประตูเสียงดังปัง...
ทิ้งให้คนแรกที่ออกไปได้ก่อนแต่กลับเข้ามาไม่ทัน ตาลีตาเหลือกอยู่ข้างนอก
ทุบประตูโครมๆ พร้อมทั้งกระชากถีบยันกำแพงเพื่อดึงประตูหน้าบ้านสุดแรงเกิด
.......ก่อนจะคิดได้แล้วเปลี่ยนเป็นผลักเข้ามาแทน !!!

คนสุดท้ายที่เข้ามาล้มกลิ้งไปกับพื้นใน
ขณะคนที่เหลือตาลีตาเหลือกลนลานชนข้าวของวิ่งขึ้นบันไดไป
โดยมีไอ้แมนนำอยู่ข้างหน้า...
---
-----
--------



“ตู๊ดดดดดด”
เสียงโทรศัพท์ในมือผมดังขึ้น
“เออ.... พี่มาถึงบ้านแล้วนะ เปิดประตูที” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายโทรศัพท์
“พี่.... คุย. กับ ใคร อ่ะ?” เสียงตะกุกตะกักสั่นตามสายมาเลย
ทำเอาผมคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็... คนข้างบ้าน” ผมเบาเสียงลง
เหลือบตาไปมองคนนั่งหน้าบ้านแวบหนึ่ง ราวกับกลัวเจ้าตัวได้ยิน พร้อมกับยิ้มให้
ลูกบิดประตูไม่ได้ล็อกเมื่อผมบิดแล้วผลักมันเข้าไป
“อยู่ไหน???” ผมถามขณะเดินหลบข้าวของระเกะระกะในห้องด้านล่าง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ ที่ใช้สำหรับสกรีนแผ่นผ้า
“ชั้นบน” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ
ได้ยินเสียงพวกลูกน้องในโรงงานมันดังอยู่ข้างหลังแทรกเข้ามาในสายด้วย
“พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร?” หลานชายถามเมื่อผมเดินขึ้นบันไดมา
“ก็.....คนข้างบ้านแก ที่เคยมากินเหล้าด้วยกันไง” ผมตอบ
“คนพี่หรือคนน้อง?” หลานผมยังคงถามผมอีก
“คนน้องสิ” ผมตอบห้วนๆ
“พี่ไม่รู้เหรอ.....?” คนพูดหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะต่อว่า
“ว่าคนน้องน่ะ มันโดนพี่ชายฟันหัวตายไปตั้งหลายวันแล้ว!!!” คนพูดทำท่าจะร้องไห้ พร้อมกับพวกลูกน้องที่กำลังทำตัวกลายเป็นขุนพลอยพยัก พยักหน้าส่งสายตาน่าสงสารมายังผม

นานพอดูที่ผมต้องจ้องมองพวกมันอย่างคาดคั้นจะเอาความจริง
ร่างที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ทำให้ผมไม่คิดจะคาดคั้นต่อ

“แล้วมานั่งทำอะไรที่นี่ละ กลัวก็ไม่ออกไปอยู่ข้างนอก” ผมถาม
“ก็... มัน นั่งอยู่ ตรงนั้นน่ะ... ” คนพูดทำปากบุ้ยบ้ายไปที่หน้าบ้านแทนคำตอบ
( ปรากฏว่าพอพวกหลานชายผมจะออกจากบ้านพวกก็หายไปจากบ้านมานั่งดักรอที่โต๊ะกินเหล้าแล้ว ไอ้พวกนั้นเลยถอยกลับเข้ามาอยู่กันในบ้านไม่กล้าออกไปไหนกัน )

คนเรานะครับบทจะซวยมันก็ชวยได้ซวยดี..
บ้านผมพึ่งโดนน้ำท่วมข้าวของเสียหาย จัดล้างยังไม่ทันเสร็จ
รถก็โดนความชื้นต้องเข้าศูนย์ซ่อม นี่ก็ยังไม่ค่อยจะดีอยู่เลย ว่าจะเอาไปซ่อมอีกที
เมื่อวานนี้โทรศัพท์มือถือก็ดันหาย อันที่ใช้นี่ก็พึ่งซื้อมาใหม่เมื่อวานเย็น
นี่จะมาโดนผีหลอกอีกแล้ว ที่เค้าว่าผีมักจะมาให้คนดวงตกเห็นนี่ท่าจะจริง...

ผมเดินไปที่นอกระเบียง เพื่อก้มดูคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน...

“กันสาดดดดบัง มองไม่เห็น บัดซบเอ้ย...” ผมสบถในใจ
ในขณะที่พวกในห้องชะโงกมองตามจนคอยาว
“ไม่ต้องชะโงกคอตาม ออกมาดูด้วยกันก็ได้” ผมเย้าแหย่ เห็นเป็นเรื่องสนุก
แต่พวกมันไม่สนุกด้วยส่ายหัวดิก ขึ้นพร้อมกัน
“อยู่ไม๊พี่ ?” ไอ้แมนถาม
“ไม่รู้สิกันสาดมันบัง” ผมตอบเรียบๆ
แต่คำตอบนี้ เล่นเอาพวกที่ลุ้นอยู่ในห้องทำหน้าทำมือหงิกงอราวกับจะขาดใจตายเสียให้ได้
“กล้องอยู่ไหนวะ?” ผมถามถึงกล้องถ่ายรูปของหลานชายซึ่งผมยกให้ไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนผมเริ่มป่วย
“ในเป้... พี่” .....
“เอามาให้ทีสิ”
“พี่จะเอาไปทำไม?” มันถามพร้อมกับส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เอาอ่ะ ผมไม่ไปจากตรงนี้เด็ดขาด
ผมเเสยะยิ้ม หันไปมองคนถาม พร้อมทำหน้าประมาณว่า
ของมันก็แน่อยู่แล้ว จะถามไปทำไมวะ พร้อมกับพูดว่า
“จะเอาไปถ่ายผีน่ะสิวะ โอกาสดีๆ ยังงี้หายากจะตาย อยู่ไหนละ กล้องน่ะ?” ผมถามต่อ
“อึอื้อออออ....” ทั้งลูกพี่ลูกน้อง ส่ายหัว ส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ถึงไม่เป็นภาษาก็รู้น่ะว่าแปลว่า “ไม่เอาด้วย”

ผมส่ายหัวรำคาญ พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ใกล้จะสางเต็มแก่แล้ว อีกไม่นานคงสว่าง
มัวแต่รอกล้องจากหลานชายคงไม่ทัน
คิดได้ดังนั้น ผมจึงหยิบมือถือใหม่ขึ้นมา เปิดไปที่เมนูกล้องถ่ายรูป
“พี่จะทำอะไรน่ะ???” พวกไอ้แมนร้องเสียงหลง
ผมหันไปมองหน้ามันแล้วส่ายหัวอีกรอบ ไม่ตอบ.. แต่ เดินลงบันไดไปทันที


“ไม่กลัวรึ ผี เชียวนา?”
คงมีหลายคนสนใจสงสัย ว่าทำไมผมถึงกล้าได้ขนาดนั้น

อะพิโถ.. ใกล้สว่างขนาดนี้ แถมคนเป็นกระตัก กลัวอะไรกันเล่าครับอย่างนี้
โอกาสเจอผีตอนใกล้สว่างอย่างนี้มีน้อยจะตาย ยังไงๆ ถ้าเป็นตอนกลางคืนผมก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว
ดังนั้นโอกาสถ่ายรูปได้ จึงมีแค่ตอนนี้เท่านั้น และถ้าถ่ายรูปผีได้ละก็ ทีนี้
ผมจะได้ยืนยันได้ซะทีว่า “ผีน่ะ มีจริง” (หึหึหึ)

พวกหลานชายจับชายเสื้อเดินต่อๆ กันลงบันไดตามมา
ขณะที่ผมยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
พวกมันค่อยๆ ย่องๆ แย่งๆ มาแง้มประตูออกดู

“กร๊อบ..”

ผมแกล้ง เหยียบกระป๋องน้ำอัดลมซึ่งตกอยู่บนพื้น เสียงดังก้อง
เท่านั้น..
พวกที่อยู่ที่ประตูถึงกับเข่าอ่อนแทบทรุด บ้างก็ถึงกับจะหันหลังวิ่งกันลนลาน
จนผมต้องจับเสื้อเอาไว้กันทุกคน

“โธ่.... พี่.. ฮือๆ” เจ้าของเสียงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ อุทธรณ์เสียงอ่อย
“ไปแล้ว.. ไม่อยู่แล้ว!!” ผมกระซิบเบาๆ แต่ให้พอได้ยินกันทุกคน
“จริงเหรอพี่ ไปแล้วจริงๆ นะ???” ดูเหมือนพวกมันจะไม่ไว้ใจผมเสียแล้วตอนนี้
“เออ... ไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเลย” ผมย้ำ
ไอ้แมนโผล่ออกไปดูคนแรก แล้วพวกที่เหลือก็ชะโงกหน้าตามกันสลอน
พอเห็นว่าไม่มีใครดักรออยู่ที่ ที่นั่งหน้าบ้าน
พวกมันทั้งหมด ก็พรวดพราดวิ่งตัดหลังผมไปแย่งกันขึ้นรถทันที
“ออกรถเลยพี่แมน” เสียงไอ้เอิ๊กชัดๆ นี่มันกะจะทิ้งผมเลยนะนี่.... (เดี๋ยวต้องเคลียร์กันให้หนัก ไอ้เอิ๊ก!!)
“ล็อกบ้านก่อนสิวะ” ผมตะโกนบอก
“ช่างมันเถอะพี่ ไปกันดีกว่า” ไอ้แมนตะโกนตอบโต้มา
น่าน! ดูมัน คนเยอะขนาดนี้แถมยังจะเช้าอยู่แล้วยังปอดไม่เลิก
“เอากุญแจมาพี่ล็อกเอง” ผมเดินไปที่รถแล้วแบมือขอกุญแจ ที่ไอ้แมนล้วงให้อย่างยากลำบากเพราะมือมันสั่น...
ผมเดินไปล็อกบ้านแล้วตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที ท่ามกลางสายตาเว้าวอนว่า
“ได้โปรดเถอะพี่.... กลับมาออกรถซะทีเท้อะ ”

หลังตรวจสอบความเรียบร้อยต่างๆ แล้ว ขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปเพื่อขึ้นรถ
ก็หันหลังกลับไปมองรอบๆ อีกหน ด้วยหวังว่าจะได้บันทึกภาพผีๆ ไว้ให้คุณๆ ได้ดูกันสักใบ
“ แต่ก็ผิดหวัง ”

เคลื่อนรถไปได้ยังไม่ทันพ้นแนวทาวน์เฮาส์
ผมต้องเบรกรถอีกครั้งจนคนในรถหัวคะมำ บ่นกันขรม
เมื่อหางตาหันไปเห็นเงาจางๆ ของคนที่นั่งจิบเหล้าหน้าบ้าน เต็มๆ ตา
ชะเง้อชะง้อรอท่าราวกับรอใครสักคนมานั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ด้วย
ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไปกับท้องฟ้าของตอนกลางวัน


+++++++++++

บันทึกไว้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2554
ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่มีสถานที่จริง และมีการลงข่าวตามที่เขียนเสนอไปแล้วนั้นจริง
และเป็นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
และยังน่าเชื่อว่าตอนนี้แถวนั้นยังคงมีเรื่องนี้ปรากฏอยู่ เผื่อเอาไว้ว่าใครอยากจะไปพิสูจน์ดูบ้าง
สถานที่คือซอยนวมินทร์ 88 แยก 3 -13
ส่วนตัวข้าพเจ้า เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันอีกจนได้ จึงเป็นที่น่าเสียใจยิ่ง
ด้วยความที่ไม่ได้เห็นผีเป็นตัวเป็นตนแบบนี้มานานมากแล้ว
ครั้งนี้จึงถือว่าใกล้เคียงมากจริงๆ ที่จะพิสูจน์ได้ว่า
“ผีน่ะ มีจริง”



ปัฐพี คเวสกรณ์

คนดีผีคุ้ม

" พวกมึงเชื่อเรื่องผีหรือเปล่าวะ ? "

คิ้วที่ขมวดแทบเป็นปมบนใบหน้าเข้มๆ นั้นยิ้มอย่างแหยเกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ปนมากับเสียงเพลงบรรเลงแผ่วมาเบาๆ และเสียงเจี้ยวจ้าวจากโต๊ะรอบข้าง สมเป็นร้านอาหารสุดฮิตของแถวนี้

ไอ้ณัฐ ไม่ใช่คนชอบพูดเล่น !!

หลัง ทอดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตายซาก มือขวาคีบแก้วเหล้าที่พึ่งถูกเทแจกจ่ายให้กับทุกคนขึ้นหมุนเบาๆ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้มันเมาอย่างแน่นอน! มือซ้ายแตะไปที่ซองปืนที่คาดเอว ซึ่งผมจำได้ว่าเป็น สมิธ & วัสสัน M 67 แมก นั่ม ลูกโม่ที่ผมเคยแนะนำให้มันใช้ เมื่อสมัยมันเข้าเป็นตำรวจใหม่ๆ ไม่ใช่ว่ามันตั้งใจขู่ใคร แต่เป็นนิสัยส่วนตัว ที่ติดตัวมันมา เวลามันเอาจริงเอาจังมันมักชอบทำท่าแบบนี้เสมอ คงเป็นนิสัยเฉพาะของตำรวจ ผมเดา..!

ซึ่งนั่นก็พอทำให้รู้ว่ามันตั้งใจพูดเรื่องนี้จริงๆ แต่.. เรื่องผีกับ ไอ้ณัฐ... นี่ มันค่อนข้างจะขัดกันพิกล!

ไอ้ ณัฐ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนในพวกเราที่ถนัดซ้าย และเป็นหนึ่งในพวกหัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่มีทางยอมเชื่อเรื่องผี เรื่องเจ้าเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร
คำถามนี้ของมัน ทำเอาพวกเราตะลึงไปพักหนึ่งได้เหมือนกัน

กี่ปีมาแล้วนะ ? ที่พวกเราไม่ได้มารวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันแบบนี้

วันนี้ผมในฐานะหัวหน้าห้องสมัย ม.ปลาย เรียกพวกเราที่อยู่ในกรุงเทพฯ มารวมตัวกัน หลังไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แบบนี้มานานแล้ว
ที่มารวมกันได้ครั้งนี้
ก็เพราะ ไอ้ณัฐมันติดต่อมาว่า จะเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ และอยากเจอพวกเราทุกคน ผมเลยจัดให้!!
แม้จะไม่ได้มาครบทุกคน แต่การรวมตัวกันได้ถึง 5 คน อย่างนี้มันก็ไม่ได้มีมานานแล้วจริงๆ น่ะแหละครับ

แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า มันจะเปิดประเด็นนี้มาเป็นประโยคแรก

แน่ นอน..ว่าพวกเราส่วนใหญ่เชื่อเรื่องผี แต่ก็เชื่อกันแบบครึ่งๆ น่ะครับ คือถ้ายังไม่เห็นกับตัวก็ยังไม่เชื่อหรอก แต่ก็ไม่ปฏิเสธนะว่าไม่มีจริงน่ะ
ยก เว้นไอ้อั้น ไอ้นี่เป็นคนเดียวที่เข้าวัดธรรมะ ธรรโม ไปตามเรื่อง มันชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาก รวมถึงการเข้าทรงลงเจ้าด้วย เข้าขั้นหลง ที่ไหนว่าเด่น ที่ไหนว่าดี ไปเข้าร่วมกับเค้าหมด
มันก็ดูเหมือนจะดีหรอก ครับ แต่ผมว่าขนาดมันนี่เข้าขั้นบ้าไปแล้ว มีเงินมีทองก็เอาไปให้สถานปฏิบัติธรรมต่างๆ ซะหมด ตัวผมเองก็ไม่อยากขวางคนทำบุญ และจะให้พูดให้ว่ามันมากไปก็ไม่ดีด้วย

แต่ ก่อนที่มันจะเอาไอ้ณัฐเข้ารีตไปด้วยอีกคน เพราะหลังจากประโยคเด็ดของไอ้ณัฐ พวกเราที่พึ่งหายตะลึง ก็พากันมองหน้ากันเลิกลัก แล้วหัวเราะอย่างงงๆ
ไอ้อั้นได้ทีรีบแซวขึ้นว่า

" อยากมาเป็นคนฝั่งนี้แล้วละสิ "
" เชื่อเรื่องผีก็ดี แต่เชื่อเรื่องพระดีกว่านะ "
" ผีที่ไหนกวนเหรอ เดี๋ยวแนะนำพระดีๆ ให้ "
"ไปปฏิบัติธรรมเดี๋ยวก็หาย "

ก่อนที่มันจะพากันไปไกลกว่านี้

" เฮ้ย..! จะไม่สั่งอาหารกันก่อนเหรอวะ เดี๋ยวรอนานนะมึง " ผมรีบตัดบท!

หลัง จากสั่งอาหาร และทักทายกันตามสมควรแล้ว ไอ้อั้นก็ยังไม่ละความพยายามเอาไอ้ณัฐเข้ารีตไห้ได้ พวกเราก็แซวกันใหญ่ว่าอย่าตามมันไปนะมึงไม่งั้นมึงเสร็จแน่ ว่าแล้วก็หัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน ไอ้ณัฐก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

" นี่กูถามจริงๆ นะ พวกมึงเชื่อเรื่องผีกันไม๊ ? "

ถ้าจะมีใครสักคนในนี้โกหก คนนั้นย่อมไม่ใช่ ไอ้ณัฐ..!
ไอ้ไม้บรรทัดณัฐ!!

ไอ้ ณัฐมันเป็นคนตรง ตรงที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ตรงเสียจนน่าหมั่นไส้ ผมกับมันตอนแรกไม่ค่อยถูกชะตากัน ก็เพราะความตรงของมันนี่แหละครับ ถ้าผิดมันก็ว่าเป็นผิดอย่างเดียว ถูกมันก็ว่าเป็นถูก ไม่เคยสนใจว่าเป็นเรื่องของใคร เรื่องของเพื่อน ของฝูงมันก็ไม่เคยเว้น ไม่เคยไว้หน้า ผิดกับผม ถ้าสำหรับผมเพื่อนเราต้องถูกไว้ก่อนนั่นละครับ ผมละ!

เคย ต่อยกับมันมาก็หลายหน เพราะความตรงของมันนี่ละ ทำเอาพวกผมเดือดร้อนกันมาหลายครั้ง มีเรื่องที่ต้องรวมหัวกันโกหกครูเมื่อไร มันไม่เคยเอาด้วยสักครั้ง เลยมีเรื่องกันบ่อย แต่ในที่สุด ก็รักในน้ำใจที่ตรงๆ ของมันจนได้ ดูเหมือนมันจะไม่เคยโกหกเลยด้วยซ้ำ

ตอน ที่มันสอบได้นายสิบตำรวจ พวกผมยังห่วงว่ามันจะโดนยิงตายเพราะความตรงเกินไปของมันนี่อยู่เลย ก็ตำรวจไทยนี่ครับไม่อยากนินทามากหรอกนะ แต่ถ้ายืดหยุ่นไม่เป็นนี่ผมว่าอยู่ยาก แต่กลับตรงกันข้ามกับที่พวกเราคาดเลยครับ ปรากฏว่ามันไปได้ดีกับอาชีพตำรวจเป็นอย่างดี

สงสัยคนกล้าท้าชนอย่างมัน คงจำเป็นสำหรับวงการตำรวจไทยในตอนนี้ซะละมั้ง !? ตอนนั้นผมคิดงั้นจริงๆ...

ตำรวจแทบทุกคนมีปืนพก และมักพกปืน แต่จะมีตำรวจสักกี่คนกันที่ได้ใช้ยิงจริงๆ โดยเฉพาะการได้ยิงต่อสู้กับคนร้าย

ผมว่าน้อยกว่าที่คุณคิดนะครับ !!

ไอ้ ณัฐ เป็นอีกคนที่เคยใช้ปืนยิงสู้กับคนร้าย และเป็นหนึ่งในตำรวจไม่กี่คนที่เคยยิงคนร้ายตายมาแล้ว แม้จะไม่มากรายนัก แต่ปืนของมันก็ใช้สังหาร และได้ดื่มเลือดคนมาแล้ว จำได้ว่าเป็นกระบอกเดียวกัน กับที่มันมาขอให้ผมแนะนำให้ตอนนั้น

ใช่ ว่าเพราะผมชำนาญเรื่องปืนผาหน้าไม้อะไรมากมายนัก อาศัยว่าเป็นคนที่เคยได้ลองใช้ปืนมาหลายประเภทกว่าคนอื่นๆ เพราะพ่อ และลุงผมเค้าชอบเล่นปืน และ ญาติๆ หลายๆ คนของผมก็มีปืนกัน ทำให้ผมมีโอกาสได้ลองใช้ปืนหลายๆประเภทอยู่

อันที่เลือกให้มันใช่ ว่าจะดีที่สุด แต่ก็ดีพอ และดีที่สุดเท่าที่มีในแคตตาล็อก ที่มันเอามาให้ดูในตอนนั้นแล้วละครับ และที่ผมไม่แนะนำปืนออโต้ ให้มัน แต่แนะนำลูกโม่แทนเพราะลูกโม่ดูแลง่ายกว่าสำหรับมือใหม่ และโดยส่วนตัวสำหรับผมคิดว่าปืนลูกโม่เอง ยิงได้แม่นกว่าปืนแมกกาซีนนะครับ ก็ไม่ได้คิดนี่ครับว่ามันจะเอาไปยิงแบบรณยุทธ์กับใคร จนหมดลูกโม่แบบในหนัง และเท่าที่ผมรู้มันก็ไม่เคยยิงต่อสู้จนหมดโม่สักทีเหมือนกัน

"น้อยอย่างไม่น่าเชื่อสินะครับ"

อย่างที่บอก นี่ไม่ใช่ในหนังครับ

แต่ตอนหลังที่มันใช้คล่องมือแล้ว ก็เปลี่ยนไปใช้ปืนออโต้ แบบแมกกาซีน เหมือนกันครับ เป็นซิกซาวร์เออร์ P228 บรรจุ 13 นัด !

ได้ ยินข่าวว่ามันไปอยู่พัทยาช่วงหนึ่ง ไปปราบอิทธิพลอยู่ที่นั่น จนได้เลื่อนยศเป็นร้อยตรี อย่างรวดเร็ว แต่ในที่สุดก็สู้ อิทธิพลไม่ไหวครับ

"ก็บอกแล้วนี่ นี่มันไม่ใช่ในหนัง"

หัวหน้ามันถอดใจแต่คนอย่างมันไม่ยอมหรอกครับ

ในที่สุดก็ถูกย้าย เรื่องรายละเอียดนั้นผมไม่ค่อยรู้มากนัก ไอ้นี่มันก็ไม่ใช่คนพูดมากซะด้วยสิครับ รู้แต่ว่า ย้ายใน 24 ซม.เลย!

ไปอยู่ที่พิษณุโลก...

สายฟ้าที่แปร๊บปราบของฤดูฝนตอนนั้น
คง ไม่เท่าสายฟ้าที่ฟาดในใจไอ้ณัฐ ตอนที่รู้ว่าถูกย้ายด่วน แม้ไม่ง่ายที่จะทำใจรับได้ว่าพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรม แต่ในเมื่อมันเป็นข้าราชการ เมื่อมีคำสั่งให้ทำ มันก็ต้องทำตามให้ได้

ไอ้ ณัฐ ขนของเท่าที่จำเป็นออกจากหอพัก ขับรถออกจากพัทยาในเช้าวันนั้นทันที ด้วยความโกรธและเจ็บแค้นที่สุมในอกในใจขณะนั้น เพื่อมุ่งไปยังที่ทำงานใหม่

ที่พิษณุโลก..

แม้ไม่มีที่พักที่รู้จักอยู่ที่นั้นตอนนั้นเลยก็ตาม..!

ตัดผ่านทางด่วน เข้าใช้ถนนพหลโยธิน ออกอยุธยาผ่านลพบุรี มีพักบ้างก็แค่เติมน้ำมัน กับเข้าห้องน้ำ

" กินอะไรไม่ลงเลยตอนนั้น " มันบอก

ขับรถฝ่าสายฝนไปไกลหลายร้อยกิโล ไม่สนว่าฝนจะตกหนักเพียงใด ถ้าไปต่อแบบนี้เรื่อยๆ คงถึงที่หมายก่อนเย็นได้พอดี..


สภ.ท่าข้าม

( ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนมันจะย้ายจากกองปราบไปอยู่ ที่โรงพักที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า สภ. ) ค่อนข้างห่างไกล และกันดาร พอดู ห่างจากหมู่บ้าน อื่นๆ หลายสิบกิโล

พอเข้าเขตพิษณุโลก ฝนยิ่งตกหนัก ทำให้ทัศนะวิสัยแย่มาก มองทางแทบไม่เห็น ทำให้การเดินทางจึงเป็นไปได้อย่างช้าๆ และยากลำบาก แต่..ความเย็นของสายฝนก็ช่วยให้ความร้อนในจิตใจของมัน ลดลงไปได้มากโขเหมือนกัน

" หลังจากที่กูขับรถถึงพิษณุโลก ก็ต้องตัดออกนอกเมืองไปอีกหลายกิโล "

ไอ้ณัฐเล่าในช่วงการสนทนา ระหว่างพวกเราทานอาหาร
น้ำ อำมฤตสีอำพันทำให้ลิ้นมันคล่องขึ้น ขณะที่หลายคนในกลุ่มสนใจฟังบ้าง ทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันไปพลางบ้าง ด้วยไม่ได้เจอกันนาน แต่ ไอ้ณัฐ ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว มันตั้งหน้าตั้งตาเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ตามสไตล์ของมัน
และนั่น..! ทำให้ผมต้องคิดหนัก..

ราวๆ 2 ทุ่ม..แล้ว! หลังจากมองเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านสุดท้ายที่ผ่านมา ก็ร่วมครึ่งชั่วโมง ยังไม่เห็นบ้านคนอีกเลย ฝนก็ตกหนักจนแทบมองทางไม่เห็น นึกโมโหฟ้าฝน อยากหยุดพักก็ไม่เห็นที่ไหนพอจะพักได้ จะกลับไปทางเดิม ก็ผ่านหมู่บ้านมาไกลโข

ความโกรธ โมโห ร้อนใจกลายเป็นความกังวล ว่า..ท่าจะไม่ถึงปลายทางเสียแล้ว..วันนี้ ดูท่าต้องพักรถกลางป่าเสียกระมัง

แต่แล้ว..! เหมือนพระมาโปรด
แสงไฟจากข้างทางที่เห็นอย่างกะทันหัน ทำให้มันค่อยๆ แตะเบรคลดความเร็วรถลงทันที

แสง จากตะเกียงที่เกือบมองไม่เห็นในตอนแรก คงเป็นเพราะฝนที่ตกหนัก ทำให้สังเกตได้ยากยิ่ง แต่เมื่อหยุดมองดูให้ดี ก็จะเห็นว่า เป็นแสงมาจากบ้านเรือนไทย ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังใหญ่โอ่โถงทีเดียว และยิ่งเมื่อสังเกตดีๆ แล้ว ก็พบว่า ยังมีบ้านอีก 2 หลัง ปลูกไว้ใกล้ๆ กันนั้น แต่มันกลับขับผ่านมาจนถึงหลังสุดท้าย โดยที่มองไม่เห็น บ้าน 2 หลังแรกเลย

" คงเพราะทัศนะวิสัยแย่ " มันคิด

แม้จะยังสับสน สงสัยอยู่บ้างว่า มันก็ว่ามันดูทางดีแล้วนะ ทำไมถึงมองไม่เห็นบ้าน 2 หลัง นั้นในตอนแรก

บ้าน ทั้ง 3 หลัง ใช้ตะเกียงกันทั้งหมด อาจเพราะไฟดับ และไม่น่าใช่ว่าไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะเสาไฟฟ้ายังมีให้เห็น อีกทั้งสายไฟที่ห้อยโยงระยาง ทอดยาวอยู่ตลอดข้างทางที่ผ่านมา แม้ไม่มีไฟส่องสว่างข้างทางอยู่เลยก็ตามที เพราะจะมีก็แต่ในเขตเมืองเท่านั้นที่จะมีไฟข้างทางใช้

พร้อมกับที่มันขับรถเข้าไปในเขตบ้าน หวังขออาศัยหลบฝนชั่วคราว คนในบ้านก็จุดตะเกียงถือร่ม ออกมาชะโงกดูในทันที

" ไปไหนกันละนั่น พ่อ " เสียงจากเจ้าของบ้านตะโกนทักขึ้นมาก่อน

พอจอดรถได้ ไอ้ณัฐ รีบเปิดประตูออกมาพร้อมกับตะโกนตอบทันทีเช่นกัน

" จะไป สภ.ท่าข้าม น่ะครับ " " ผมเป็นตำรวจพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่ "

แค่เปิดประตู ฝนก็กระหน่ำซะเปียกซก

" ย้ายมากลางค่ำกลางคืนนี่นะ พ่อ " เจ้าบ้านถามพร้อมกับหัวเราะ

น้ำ เสียงฟังดูใจดีใช่เล่นอยู่ ชายเจ้าของบ้านเท่าที่เห็น อายุน่าจะสัก 50 ปลายๆ ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนแขนสั้นสีขาว พาดผ้าขาวม้าสีเขียวลายตารางหมากรุกไว้บนไหล่ การแต่งตัวแลดูภูมิฐาน เหมาะกับตัวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

" ครับ ผมอยากขออาศัยจอดพักรถสักพัก ให้ฝนซาแล้วจะไปต่อน่ะครับ "

ไอ้ณัฐ รีบตอบ

พลางดึงประตูรถเข้ามาใกล้ตัวกันฝนที่สาดเข้าใส่อย่างจังๆ

" รีบขนาดนั้นเชียว ขึ้นมาพักก่อนดีกว่ามั้ง เปียกไปหมดแล้วนั่น " พูดพลางเดินเข้ามาเอาร่มบังฝนให้อย่างเป็นกันเอง

คน บ้านนอกน่ะมักจะใจดี ยินดีต้อนรับทุกผู้คนที่ผ่านมา และไม่ค่อยระมัดระวังตัวกันสักเท่าไรนัก ไว้ใจแม้อาคันตุกะแปลกหน้ายามราตรี นี่ละครับคนไทยของเรา มีน้ำใจ..

แต่ ! ด้วยความเกรงใจว่ามารบกวนในยามวิกาล ทำให้ ไอ้ณัฐ ออกอาการลังเล

" ไม่เป็นไรหรอก พักให้ฝนหยุดก่อนก็ได้ บ้านเรามันก็ไม่มีอะไรนัก พ่อขึ้นมาพักตามสบายได้เลย "

เจ้าบ้านยังคงชวนและจูงแขนขึ้นบ้าน

" ไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร อันตรายออกสะพานข้างหน้ามันก็พัง พ่อโชคดีนะนี่ที่ไม่ได้ไปต่อ "

ขนมันลุกซู่ขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง รู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่มองเห็นแสงไฟทัน ไม่งั้นคงได้ตกสะพานกันไปแล้ว..

แม้ ! ไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านในยามวิกาลนัก

แต่ ในที่สุด ไอ้ณัฐ ก็ตัดสินใจขึ้นบ้านด้วยประทับใจในน้ำใจไมตรี ของเจ้าของบ้าน

" ต๊าย..เปียกโชกมาเลย นังหนูเอ๊ย..เอาผ้ามาให้พี่เค้าหน่อยสิลูก "

เสียงผู้หญิงดังมาจากบนบ้าน เมื่อเห็นสภาพยามมันเดินขึ้นบันไดมา

" มืดหน่อยนะไฟฟ้ามันดับน่ะ " คนพ่อเป็นคนบอก

เสียง วิ่งอยู่ในบ้านประเดี๋ยวเดียว ร่างอันปราดเปรียวของสาวชาวบ้านที่ถูกเรียกว่า "ลูก" ก็โผล่ออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และผ้าขาวม้าอีกหนึ่งผืน

ไอ้ ณัฐ ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความเกรงใจ แต่ก็รับผ้าทั้งสองผืนเอาไว้ พร้อมกับโค้งตัวลงกล่าวขอบคุณ สาวชาวบ้านยิ้มน้อยๆ อย่างอายๆ พร้อมส่งผ้าให้ โดยไม่ได้กล่าวอะไร แล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

ไอ้ ณัฐ ขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดตำรวจครึ่งท่อนที่เปียกปอนไปทั้งตัว ในห้องน้ำบนบ้าน เป็นชุดลำลองที่หยิบติดมือขึ้นมาจากในรถ

พอออกจากห้องน้ำมาก็พบว่า

สาวน้อยสามคนยืนคอยมันอยู่ก่อนแล้ว!
และหนึ่งในสามคนนั้น ก็คือคนที่เอาผ้าเช็ดตัวมาให้มันนั่นเอง
เธอหลบอยู่ข้างหลังอีกคน ที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สาวอย่างอายๆ คู่กับอีกคนที่ตัวไล่ๆ กัน

" เอา - ไป - ตาก - ให้ "

คนนำหน้าตัวโตสูงกว่าเพื่อนเล็กน้อยพูดเน้นเสียงทีละคำชัดเจน
พร้อมทั้งแบมือยื่นออกไปรับชุดที่เปียกชุ่มของมัน

ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวคนโต

" เอ่อ...ไม่เป็นไร ผมตากเองก็ได้..มั้ง ? " ไอ้ณัฐ หันรีหันขวางหาที่ตากพร้อมตอบอย่างเกรงใจ

" แล้วรู้เหรอว่าตากตรงไหนน่ะ " เธอว่าพร้อมยิ้ม

เม้ม ริมฝีปากอิ่มรับกับใบหน้าแน่นขึ้น มือที่ยื่นมายังคงยกค้างอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มกวนๆ บนใบหน้าและแก้มที่ระเรื่อนั้น เงยขึ้นเอียงคอนิด เชิดปลายคางกลมมน ขึ้นมองมันอย่างไม่สะท้านอาย ต่างจากน้องสาวอีกสองคน ที่หลบข้างหลังหัวเราะคิกคักกันเบาๆ

สามสาวหน้าตาออกจะละม้ายคล้าย กัน ผิวอาจไม่ขาวนักเพราะต้องสู้อยู่กับเปลวแดดทุกวัน แต่ก็ไม่ถึงกับเข้ม ยิ่งเมื่อเทียบกับผิวกระดำกระด่าง ของไอ้ณัฐ

คนพี่สูงกว่าหน่อยๆ และผิวขาวกว่านิดๆ แต่อีกสองคนแทบแยกไม่ออก น่าจะเป็นแฝดเสียด้วยซ้ำ อายุไม่น่าเกิน 16 ส่วนคนพี่น่าจะสัก 18 ได้กระมัง

" มาพ่อ มากินข้าวกัน " เสียงเจ้าบ้านตะโกนแทรกเข้ามา

ไอ้ณัฐ สะดุ้ง ตื่นจากความคิด จำใจยื่นชุดเปียกๆ ของมันให้โดยดี พร้อมก้มหน้ากล่าวคำขอบคุณเบาๆ

เด็ก สาวรับผ้าแล้วพากันเดินเลี่ยงไปตากที่ชานบ้าน ซึ่งค่อนข้างกว้างนั้นเงียบๆ พึ่งได้เห็นชัดๆ ว่า คนพี่ แม้อกและไหล่จะกว้าง สะโพกผ่าย อวบอัด เอวกิ่ว เหมือนสาวชาวนาชาวสวน แต่รูปร่างค่อนข้างสูงโปร่ง ได้สัดส่วนกว่าเด็กสาวชาวบ้านทั่วๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด

ผ้าซิ่นสีแดงแถบดำ และเสื้อคอกระเซ้าสีเขียวอ่อน ที่หาให้เห็นไม่ได้จากในเมืองหลวง และพัทยา ทำให้คนสวม ดูน่ามองอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนสองคนน้อง ก็ค่อนข้างสูงแต่ตัวเล็ก แลดูบอบบางกว่า ไม่อวบอัดเต็มสาวอย่างคนพี่
คนที่เอาผ้าเช็ดตัวมาให้มันนุ่งกางเกงเล และเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพูเข้าชุด
ส่วนอีกคน นุ่งกางเกงขาสั้นสีครีม เข้าคู่กับเสื้อแขนสั้นแขนตัดสีเหลืองที่ดูทันสมัย

บ้าน อีก 2 หลัง ดับไฟลงแล้ว เท่าที่ทันสังเกต แต่ละหลังเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวใต้ถุนสูงเหมือนๆ กัน ปลูกในละแวกเดียวกันไม่ห่างกันนัก แต่หลังที่มันเข้ามาพัก หลังใหญ่โตกว่าอีก 2 หลังมากทีเดียว ราวกับเรือนใหญ่ กับเรือนบริวาร

ระเบียงชานรึก็กว้างขวาง แต่มีห้องหับอยู่แค่ 2 ห้อง คิดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับนอน
ยกสูงเล่นระดับขึ้นไปจากชาน อีกประมาณเลยเข่านิดเดียว เหลือพื้นที่เป็นลานโล่งนอกห้องนอน คล้ายห้องโถง แลกว้างขวาง
สำรับกับข้าวถูกเตรียมมาไว้ที่นั่นรอท่า พร้อมสรรพอยู่บนเสื่อ

กลิ่นจากแกงคั่วกบ และห่อหมกปลาสร้อย หอมฟุ้ง ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่จานพร้อมเสริฟ

ตัวของลุงป้าเจ้าของบ้านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

บรรยากาศทานข้าวใต้แสงตะเกียงแม้จะดูเหงาๆ แต่ก็ดูดีอย่างเหลือเชื่อในยามนี้

" อาหารบ้านนอก พ่อทานได้รึเปล่าไม่รู้.. " เสียงแม่บ้านเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

" ได้ครับ อะไรก็ทานได้หมดล่ะครับ น้า " ไอ้ณัฐ ตอบยิ้มๆ

" งั้น อิฐ ไม้ หิน ปูน ก็คงทานหมดสินะคะ " น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ ของเด็กสาวคนพี่ดังมาจากข้างหลัง

พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของอีกสองน้องสาวที่ตามเข้ามา
ผู้เป็นพ่อส่งสายตาปรามดุๆ พร้อมส่งเสียงกระแอ้มเตือนขึ้นในลำคอ

" พูดอะไร ไม่เข้าเรื่อง มา มากินข้าวกัน หิวจะแย่แล้ว "

เด็กสาวบุ้ยปากบุ้ยบาย แต่ก็ทำตามพ่ออย่างว่าง่าย แต่ยังมีรอยยิ้มที่ริมฝีปากอิ่มนั้น

อีกครั้งที่มีโอกาสได้มองตรงๆ ถึงเห็นได้ว่า

แม้ พวกเธอจะไม่ได้จัดว่าเป็นคนที่สวยมากๆ แต่ก็จัดว่ามีความน่ารักอยู่ในที รวมถึงคำพูดคำจาอย่างสนิทสนมนั้น ทำให้บรรยากาศรู้สึกเป็นกันเองยิ่ง

แม่บ้านยกจานข้าวมาให้ ไอ้ณัฐ ขอบคุณเบาๆ

หัว หน้าครอบครัว เริ่มรับประทานเป็นคนแรก แล้วเชิญชวนไอ้ณัฐ ให้ลงมือทานทันที ส่วนแม่บ้านและเด็กสาวยังคงรอดูท่าทีอยู่ คงรอให้มันทานก่อน

ชาวบ้านนอกมักให้เกียรติผู้ชายทานคำแรกก่อน แล้วพวกผู้หญิงถึงค่อยลงมือทานเสมอ..!

อาจเป็นเพราะอารามโกรธ วู่วามมาแต่เช้า จึงยังไม่ได้ทานอะไรให้ตกถึงท้องเลย ความหิว พึ่งแล่นเข้ามาเล่นงานก็ตอนนี้นี่เอง

มัน ยอมรับกับตัวเองว่า ข้าวในวันนั้นแม้จะไม่มีกับข้าว ก็อร่อยมากอยู่แล้ว แต่กับข้าวของแม่บ้านนั่นอร่อยจนมัน ต้องขอเพิ่ม แม้ออกจะเกรงใจ

จนกระทั่ง..หมดไปเกือบๆ สองจานพูนๆ
ถึงได้รู้สึกตัว ว่ามีคนคอยจ้องอยู่อย่างยิ้มๆ

ไอ้ณัฐเขินแทบตาย รีบเถไปชมฝีมือแม่ครัวว่า ไม่เคยทานห่อหมกปลาอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
แม่บ้านหัวเราะแล้วบอกว่าถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆ ยังมีอีกตั้งเยอะ พูดพร้อมทั้งยกหม้อให้ดูก็เห็นว่าทำไว้เยอะจริงๆ

คราวนี้เด็กสาวไม่ยักกะแซว เรื่องที่มันยัดข้าวเอ๊า ยัดข้าวเอา ได้แต่นั่งยิ้มทานไปเงียบๆ

พวก เธอนั่งพับเพียบทานข้าวอยู่เรียงกัน โดยคนพี่นั่งถัดจากมันไปทางขวามือ เรียงกันไปกับน้องๆ ส่วนลุงเจ้าของบ้านนั่งติดมันทางซ้ายมือ ต่อด้วยคนเป็นแม่ ล้อมวงกันอย่างนั้น

คนพี่นั่งตัวตั้งตรง แลดูสง่านัก
ไม่ว่าไอ้ณัฐ จะเพ่งพิศดูยังไงมันก็บอกกับตัวเองว่า ช่างดูไม่เหมือนสาวชาวบ้านทั่วๆ ไปเอาเสียเลย..

หนึ่ง ในน้องคนเล็กนั้น เท้าแขนอยู่กับพื้นขณะเอื้อมตักกับข้าวใส่จาน พร้อมพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันเองอยู่กับคนน้องอีกคน แล้วส่งเสียงหัวเราะกันเบาๆ เป็นระยะ ทำให้บรรยากาศในมื้ออาหารค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นกันเอง

ลุงป้าพ่อ บ้านแม่บ้านไม่ค่อยพูดมากนัก แต่ก็พอจะซักถามอยู่บ้างเหมือนกันว่า ไปไงมาไงถึงได้เดินทางเอาตอนมืดตอนค่ำ แถมฝนตกหนักแบบนี้ ไอ้ณัฐ เองก็เล่าอย่างไม่มีปิดบัง..!

ระหว่างบทสนทนาพร้อมกับที่ข้าวก็อิ่มท้องพอดี

" อืม.. อย่างนี้พ่อก็มาเป็นตำรวจบ้านเราแล้วสินะ ดีเหมือนกัน ต่อไปมีอะไรคงจะได้ฝากพ่อช่วยดูแลได้ "

"ครับถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็บอก ผมยินดีช่วยสุดความสามารถเลยครับ "

รอยยินดีเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าทุกคน

ทำให้ไอ้ณัฐ รู้สึกว่าต่อไปถ้ามีอะไรที่มันช่วยได้มันยินดีจะช่วยครอบครัวนี้อย่างเต็มที่ อย่างที่มันรับปาก

แม้ มันไม่บอก ผมก็พอรู้ว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไอ้ณัฐ มันช่วยทุกคนเต็มที่อยู่แล้ว ( แต่ถ้าทำผิดมา ผมเองก็รับประกันได้ว่าไอ้ณัฐ มันเอาผิดแน่ๆ เหมือนกัน ก็นิสัยมันอย่างนี้นี่ ไอ้นี่..! )

หลังอาหารมีน้ำขาวทำมือ มาช่วยย่อย รสชาติหวานอร่อย โดยเฉพาะเมื่อรินจากมือผู้หญิง!!
หลายแก้วจนมันชักไม่รู้แล้วว่าอะไรหวานกว่ากัน ระหว่างน้ำขาว กับสาวสวย.. แต่ก็ต้องเกรงใจพ่อแม่เค้าที่อุตสาห์มีน้ำใจ...

ที่ นอน หมอน มุ้ง ถูกนำมาจัดวาง กางเตรียมไว้ให้ ด้วยการช่วยกันของสามพี่น้องกับแม่ เยื้องจากตรงที่ตั้งสำรับขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย หลังเก็บสำรับกับข้าว และปัดกวาดเสร็จ บ้านแถวชนบทมักใช้ห้องโถงนี้เป็นลานสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่นั่งเล่น รับแขก ทานข้าว ทำงานพื้นบ้าน ไปยันใช้นอน ..!

ระหว่างนั้น !

ลุงเจ้าของบ้านก็งัดเอาบุหรี่มวนใบตองยกขึ้นมาจุดสูบ
( ไอ้ณัฐ ไม่สูบบุหรี่ แต่คิดในใจว่าคราวหน้าถ้าผ่านมาคงต้องหาบุหรี่นอกมาฝากแกสักหน่อย แกน่าจะชอบ..? )

เจ้าบ้านนั่งพ่นควันอย่างสบายอารมณ์ อยู่นอกชานมองออกไปเห็นฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่รู้จักหยุด

" ถ้าพ่อจะไปท่าข้าม.." แกเอ่ยขึ้นเบาๆ

ราวกับพูดอยู่กับตัวเอง

" ความจริงตรงไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง แต่นี่สะพานข้างหน้ามันพัง คงต้องอ้อมไปซะละมั้ง "

"ครับ ! เอ..แล้วนี่ผมไปยังไง ได้ครับนี่ ? "

พูดแล้วก็ขนลุก นี่ถ้ามันไม่หยุดซะที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน

"ก็..ย้อนกลับไปทางเดิม ถึงสามแยกก่อนถึงหน้าอำเภอที่ผ่านมาแล้วเลี้ยวซ้าย...."
( จากนั้นลุงแกก็ช่วยอธิบายเส้นทางอย่างละเอียด )

ไอ้ณัฐเองก็พยายามฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

" ต้องอ้อมไปไกลเลยละพ่อเอ๊ย " คนแม่พูดขึ้นบ้าง

ในขณะมือยังง่วนอยู่กับการจัดมุ้ง ไอ้ณัฐ หันกลับไปมอง แต่ตาดันไปสะดุดที่ลูกสาวคนโต แทนคนพูดซะนี่ เลยเจอสายตาค้อนตอบมาอย่างทันกัน
ไอ้ณัฐได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

" คงจะช่วยไม่ได้ละครับน้า ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี " ไอ้ณัฐก้มหน้าก้มตาลงตอบ

" อืม.. ก็คงลำบากหน่อยจนกว่าสะพานจะซ่อมเสร็จโน้นละ "

เจ้าของบ้านพูดพร้อมทั้งดีดก้นบุหรี่ออกไปนอกตัวเรือน

" ยังไงคืนนี้ก็นอนพักที่นี่เสียก่อนเถอะ "

พร้อมกับพยักหน้าไล่ให้ลูกสาวซึ่งจัดที่นอนให้มันเสร็จแล้วให้เข้านอน !

มองดูหน้าปัดนาฬิกาพรายน้ำ บอกเวลาพึ่ง 3 ทุ่มเศษ
นี่ถ้ายังอยู่ที่พัทยา กว่าจะหลับจะนอน ก็ ตีสองตีสาม แม้จะไม่ใช่วันเข้าเวรก็ตาม
แต่ที่นี่ การเข้านอนกันเร็วคงเป็นเรื่องปกติ

พ่อกับแม่นอนห้องนอนใหญ่ติดกับห้องโถง ที่ไอ้ณัฐใช้นอน ส่วนตัวลูกสาวนอนห้องเล็กถัดไปอีกห้อง

"ทันได้เห็นยิ้มสุดท้ายจากทั้งสามคน ก่อนเจ้าของรอยยิ้มจะหายเข้าไปยังห้องนอน.."

วันนี้คงฝันดีพิลึก
นึกในใจกับตัวเอง...

ความ เป็นตำรวจทำให้ไอ้ณัฐ นอนเร็วตื่นเร็วเป็นนิสัยอยู่แล้ว ยิ่งวันที่เพลียจากการเดินทางไกลอย่างนี้ แม้จะยังไม่ดึกนัก แต่มันก็หลับสนิทแทบทันทีที่หัวถึงหมอน

อันมีปืนซุกไว้ข้างใต้อย่างด้วยความเคยชิน !!

-------------------------


มือที่ตลบชายมุ้ง เข้ามาจะแตะที่ขา ต้องชะงักลงทันที..!!!

เมื่อถูกคนที่คิดว่ากำลังนอนหลับ ตวัดปืนจากใต้หมอนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว !!

เจ้าของมือหน้าซีดไปถนัดตา
ไม่ผิดกับตัวคนจ่อปืนเองในตอนนี้นัก
สัญชาตญาณแท้ๆ ทำให้มันทำแบบนั้น
แต่ เมื่อพบว่า เจ้าของมือที่กำลังเอื้อมมานั้นเป็นของลูกสาวคนโตของเจ้าของบ้าน ไอ้ณัฐก็หน้าเสีย หัวใจหล่นโครมลงไปอยู่ที่ปลายเท้าทันที

มีเป็นร้อยเป็นพันคำขอโทษ
แต่กลับไม่อาจออกเสียงเป็นคำพูดใดๆ ได้ซะนี่!
นอกจากชะงัก แล้วค่อยๆ ผายมือที่ถือปืนออก ถอนนิ้วออกจากไกปืน หันปลายขึ้นฟ้า

เหงื่อกาฬผุดร้อนขึ้นราวกับอยู่ในเตาอบ ทั้งๆ อากาศเย็นจนแทบจะหนาว จากไอฝนที่พึ่งหยุดหมาดๆ

ผู้บุกรุกเสียอีกที่ตั้งสติได้ดีกว่า
กระเซ้าขึ้นว่า

" ไม่ต้องกลัวไปหรอกจ้ะ แค่มาปลุกเท่านั้นเอง ไม่ทำอะไรหรอก "

พร้อมกับหัวเราะขำๆ

แต่ไอ้ณัฐ หน้าเสีย ขำไม่ออก แม้จะใจชื้นขึ้นเยอะ ที่เธอไม่ตกใจเอะอะโวยวาย

มันรีบลุกพรางขอโทษขอโพยไปพลางอย่างร้อนรน
แต่ดูท่าสาวเจ้าก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก

" พ่อให้มาปลุกแนะ "

พูดพร้อมกับถอยออกมาจากมุ้ง แล้วหลบหายเข้าไปในครัว

หลังเก็บที่นอนหมอนมุ้งเสร็จ
นายตำรวจหนุ่มของเราก็อดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่า
มีการหุงข้าวทำครัวกันแล้ว

อย่างที่บอกไอ้ณัฐ มันนอนเร็วตื่นง่าย แถมเรือนไม้แบบนี้ ใครเดินไปเดินมาทีก็มีเสียงลั่นเอี๊ยดอาดให้ได้ยินเสมอ
แต่มันกลับไม่รู้สึกตัวเลย ว่ามีการทำครัวกันจนเสร็จไปแล้ว

รอบๆ ตัวยังคงมืดอยู่มาก มองนาฬิกาพลายน้ำบอกเวลาตี 4 กว่าๆ

เก็บมุ้งเสร็จก็ออกมานอกชาน

เจอเจ้าของบ้านใส่ชุดม่อฮ่อม คาดผ้าขาวม้ารออยู่แล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกต เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในมุ้งเมื่อกี้นี้

" สวัสดีครับ " ไอ้ณัฐทักน้ำเสียงแหบพล่า

แต่คนฟังดูเหมือนจะไม่ได้เฉลียวใจอะไร

" โทษทีที่ปลุกแต่เช้านะ พ่อ แต่เดี๋ยวเราจะต้องออกไปกรีดยางกันแล้ว "

พลางชี้มือไปยังป่า อีกฝั่งของถนน ที่เห็นแค่เงารางๆ ไม่รู้ต้นอะไรเป็นต้นอะไร

" ต้องไปกันหมดน่ะ เลยจะบอกพ่อไว้ก่อน เดี๋ยวตื่นมาจะไม่เจอใคร "

" อ้อ.. ครับๆ งั้นเดี๋ยวผมขอออกไปพร้อมกันเลยแล้วกัน " ไอ้ณัฐรีบตอบ

" โทษทีนะเลยทำให้ต้องออกแต่เช้าเลย "

" โอ้ย.. ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากแล้วครับ ผมจะไม่ลืมเลย "

ไอ้ณัฐยกมือไหว้พร้อมขอบคุณเจ้าของบ้านจากใจจริง

เจ้าของบ้านก็รับไหว้แล้วหัวเราะตบแขนไอ้ณัฐเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

" เอาข้าวนี่ไปทานด้วยสิจ้ะ "

คุณแม่เดินออกจากครัวมาพร้อมลูกสาวคนโต และสำรับสำหรับไว้กินระหว่างทำงานชุดใหญ่
แบ่ง ใส่ใบตองกลัดด้วยเสี้ยนพร้าว ( กลัดทางมะพร้าว ) มาให้เพื่อนผมสำรับหนึ่ง เป็นเนื้อตากแห้ง กับข้าวสวย มันอดนึกชื่นชมภูมิปัญญาไทยไม่ได้ แม้ไม่สะดวกสบายเหมือนใช้ถุงพลาสติก แต่ก็ดีกับโลกและสิ่งแวดล้อม เพราะใบตองกับเสี้ยนพร้าวย่อยสลายได้ง่าย หนำซ้ำใบตองยังช่วยให้กลิ่นข้าวหอมชวนกินยิ่งขึ้น

คุณลูกสาวเดินตัดหลังแม่ลงเรือนไปอย่างเงียบๆ โดยมีน้องสาวสองคนรออยู่ข้างล่างก่อนแล้ว ใส่ชุดโพกผ้าโพกศีรษะพร้อมจะออกไปทำสวน

ร่ำลาเจ้าของบ้านชายหญิงเสร็จ

ไอ้ณัฐก็ออกรถ ไม่ทันได้ร่ำลาสามพี่น้องอย่างที่ตั้งใจ
แต่ไม่เป็นไร! วันหน้าต้องมาอีกอย่างแน่นอนไอ้ณัฐคิดในใจอย่างลิงโลด

ฝนหยุดแล้ว
แม้จะยังมืดแต่ด้วยแสงไฟจากรถกระบะของมัน ทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น

ด้วย ความสงสัยไอ้ณัฐ จึงขับต่อไปทางเดิมต่อไป แต่ไปได้อีกไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำจากประตูบ้าน มันก็พบกับสะพาน ที่จวนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ขนลุกเกรียวอีกครั้ง

นี่..ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เห็นว่าสะพานมันจวนจะพังอยู่ร่อมร่อแล้ว

ถ้าไม่มีใครเตือนแล้ววิ่งลุยฝนผ่านไป ไม่อยากคาดเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

นึกขอบคุณคุณพระคุณเจ้า ที่ดลใจให้มันพักที่บ้านนั้น ไม่งั้น...!!??

หนทางอ้อมค่อนข้างไกลอย่างที่ป้าแกบอก กว่าจะถึงสภ.ท่าข้าม ก็เกือบๆ 7 โมงเช้า

ท่ามกลางความประหลาดใจของสิบเวร และตำรวจเวรในโรงพัก เมื่อมีนายตำรวจใหม่ย้ายเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว

" มันยังหลับเวรกันอยู่เลยตอนนั้น "

ไอ้ณัฐ เล่าพร้อมทั้งหัวเราะขำๆ

หลังจากแจ้งให้ทราบว่าจะขอพบสารวัตรใหญ่ ไอ้ณัฐก็ขอนอนในรถอยู่ในโรงพักนั่น โดยบอกว่าถ้าสารวัตรมาให้ใครไปปลุกด้วย..

สายโด่! ก็ไม่มีใครมาตาม มันจึงไปรอในห้องสารวัตรใหญ่เสียเอง
และกว่ามันได้พบได้รายงานตัวเรียบร้อยก็ตกบ่าย และได้ที่พักเป็นบ้านพัก อยู่ในสถานีตำรวจนั่นเอง

เช้าอีกวัน..
หลังจากรับมอบงาน และเข้าดูที่ทำงานแล้ว
ระหว่างทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานใหม่ และตกลงกันว่าจะมีงานเลี้ยงต้อนรับกันตอนเย็น

หัวหน้าก็เข้ามาบอกว่า

วันนี้ให้พาลูกน้องไปช่วยชาวบ้านซ่อมสะพานหน่อย จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกัน ทั้งกับลูกน้องและชาวบ้านด้วย

พอได้ยินว่าซ่อมสะพาน
ไอ้ณัฐก็นึกถึงที่นั่นทันที
คงจะเป็นสะพานที่ว่านั้นแน่ๆ

หลังจากสอบถามจนแน่ใจแล้วว่าน่าจะใช่
ไอ้ณัฐก็แวะสหกรณ์ตำรวจซื้อของฝากติดไม้ติดมือจนเยอะแยะไปหมด โดยไม่ลืมติดบุหรี่ก้นกรองไปด้วย ใส่เอาไว้ตรงท้ายรถ
ทำเอาหลายคนงุนงงสงสัยไปตามๆ กัน ทั้งเรื่องของฝากทั้งเรื่องสะพานที่มันไล่ถามใครต่อใคร
ไอ้ ณัฐจึงเล่า เรื่องที่มันเจอมาเมื่อคืนก่อนให้หลายๆ คนที่อยู่ที่นั่นฟัง รวมถึงเรื่องที่มันเกือบตกสะพานนั้นมาแล้ว ก่อนจะได้มาทำงานที่นี่เสียอีก

หลายคนคลางอือๆ.. อย่างเข้าใจ และบอกว่ามันโชคดีมากที่ไม่เกิดอุบัติเหตุในวันนั้น
มันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!
แต่..!
จะมีก็ข้อคลางแคลงใจจากบางคนที่รู้จักพื้นที่ ที่พยายามบอกมันว่าแถวนั้นไม่น่ามีบ้านคนอยู่นา
มันก็หัวเราะไม่ว่าอะไร บางทีอาจเป็นคนละที่ คนละสะพาน หรือคนพูดอาจเข้าใจผิดเรื่องการมีบ้านอยู่แถวๆ นั้น เรื่องแบบนี้มีออกบ่อย
มันจึงได้แต่หัวเราะ
แต่ก็ยังมีเสียงซุบซิบนินทากันถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่ดี จนหลายคนซุบซิบว่ามันดูเพี้ยนๆ ซะด้วยซ้ำ

ราวๆ 10 โมงเช้า
จากโรงพักไม่ถึง 7 กิโล
ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่มันขับรถเข้ามาที่นี่ ก็ถึงสะพานที่ว่า

ตอน แรกก็ยังไม่แน่ใจนักสำหรับไอ้ณัฐ ว่าจะใช้สะพานเดียวกันหรือเปล่า เพราะตอนที่เห็นครั้งก่อนนั้นยังมืดอยู่ ทำให้ดูแตกต่างจากตอนกลางวันอย่างนี้

ชาวบ้านหลายสิบคนลงมือซ่อมสะพานกับอยู่ก่อนแล้ว

เสียง ทักทายระหว่างชาวบ้านกับตำรวจซึ่งน่าจะอยู่ในพื้นที่มานานพอสมควรแล้ว ที่มาด้วยกับมัน ตามมาด้วยการแนะนำตัวนายตำรวจใหม่กับชาวบ้านก็เริ่มขึ้น

ไอ้ณัฐยกมือไหว้ ทุกคนก็ยกมือไหว้ตอบพร้อมกับทำท่าทางเกรงอกเกรงใจนายตำรวจใหม่นัก

ชาวบ้านบ้านนอกมักเกรงกลัวเจ้าหน้าที่เสมอ แม้แต่เป็นแค่พลฯตำรวจก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงระดับนายร้อยอย่างมัน
มันก็เข้าใจดีและคิดว่าต่อไปต้องเข้าถึงชาวบ้านให้มากกว่านี้ ชาวบ้านจะได้เลิกกลัวตำรวจซะที

หลังจากเปลี่ยนชุดและเริ่มซ่อมสะพานกัน
ยิ่ง สังเกตก็ยิ่งเห็นว่าช่างเหมือนกับสะพานที่มันเจอมาเมื่อเช้าวานก่อนซะเหลือ เกิน ต่างกันก็เพียงแต่วันนั้นมันไม่ได้พังลงไปแล้วอย่างวันนี้เท่านั้น

แต่เมื่อมองไปอีกฝากของสะพานกลับไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียว ทั้งๆ ที่บ้านที่มันพักอยู่ใกล้กับสะพานขนาดนั้นแท้ๆ

ไอ้ณัฐได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

จนกระทั่ง!

พักกินข้าวเที่ยง

มันก็สอบถามชาวบ้านที่มาช่วยซ่อมสะพาน ได้ความว่า

มีแค่สองเส้นทางจากกรุงเทพฯ ที่มันจะมาที่โรงพักมันได้ เส้นทางแรกคือทางที่มันอ้อมมาเมื่อตอนกลางคืน และอีกเส้นทางคือผ่านสะพานนี้ไป

ความจริงข้อนี้ยิ่งทำให้มันเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่

หลังฟังจากปากคำของชาวบ้าน
มันก็ลุยน้ำข้ามฝั่งไปทันที

เมื่อ ขึ้นไปถึงถนนอีกฝั่ง หลังจากหันรีหันขวางได้สักพัก ยิ่งพิศ ยิ่งดู ก็ยิ่งจำได้ดีว่าใช่ที่นี่แน่แล้ว ที่มันมาหยุดรถมองสะพาน แต่กลับไม่มีวี่แววบ้านหลังใดๆ เลย ทั้งรอบสองข้างทางเป็นทุ่งโล่งๆ เต็มไปด้วยแฝกและหญ้าคาขึ้นอยู่ไม่สูงนัก!

10 เมตร
จาก สะพานที่มันเดินผ่านมา จุดที่มันจำได้ว่าเป็นตำแหน่งของบ้านที่มันอาศัยพักค้างแรมคืนนั้น กลายเป็นที่ราบโล่งขนาดราวๆ สองร้อยตารางวา มีต้นตะแบกใหญ่ต้นเดียวขึ้นอยู่บนที่ตรงนั้น
แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีอีก 2 ต้นเล็กแอบอยู่ข้างหลังบริเวณเดียวกัน

และแล้ว! ความงุนงงสงสัยทั้งหลายแหล่แทบมลายหายไปหมดสิ้น!

เหมือนโดนค้อนทุบที่ท้ายทอย..

คล้ายจะเป็นลมแดดเสียทั้งยืน..

ทรงตัวอยู่แทบไม่ได้

เมื่อเห็นสิ่งนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า!!

รอยรถที่เหยียบลงไปบนโคลนยามฝนตก ปรากฏชัดอยู่ในสายตา ลงจากถนนไปจอดอยู่ยังลานโล่ง ใต้ต้นตะแบกใหญ่นั้นพอดิบพอดี

รวม ถึงรอยล้อรถจางๆ บนพื้นถนน ที่ไม่ทันสังเกตในตอนแรก ที่รถคันนั้นวิ่งขึ้นมาจากตรงนั้น แล่นวิ่งไปบนถนนจนถึงสะพาน แล้วกลับรถที่นั้น

มันจำได้ดี!!

รอยล้อรถนั้นช่างเป็นเหมือนรอยล้อรถของมันไม่มีผิด..!!!

ของ เยี่ยมที่เตรียมมาในหลังรถ กลายเป็นของเซ่นไหว้แทนไปเสียแล้ว ชาวบ้านมองดูมันอย่างงงๆ ตำรวจหลายนายที่อยู่ในนั้น ค่อยๆ กระซิบกระซาบเล่าให้ชาวบ้านฟังถึงเรื่องที่มันเล่าในโรงพักก่อนมา ชาวบ้านหลายคนหัวเราะแล้วซุบซิบกันว่าออกจะเพี้ยนๆ นะนายตำรวจใหม่

แต่คนอย่างมันจะสนใจอะไร...

----------------------------------

หลายคนในกลุ่มเพื่อนคลางกันฮือ..!

โดยเฉพาะเมื่อคนเล่าเรื่องนี้เป็นไอ้ณัฐ

ส่วนใครจะเชื่อบ้าง ?
ไม่เชื่อบ้าง ?
ผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ ?
หลายทัศนะถูกนำมาถกกันในวันนั้น !!

ในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการกันว่า
คนอย่างไอ้ณัฐ มัน "คนดีผีคุ้ม" แม้ไอ้ณัฐมันไม่ยอมรับว่ามันเป็นคนดีสักเท่าไรก็ตาม
( คนเรามันก็ต้องมีดี มีเลวกันบ้างสักเรื่องสองเรื่องละเพื่อนเอ๋ย.. )

และแล้ว..! งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ขณะที่พวกเราเดินกลับไปที่รถของใครของมัน
ไอ้ณัฐซึ่งเดินคู่มากับผม มือข้างหนึ่งจับไหล่ผมไว้แน่น สังเกตว่ามือมันสั่นน้อยๆ กระซิบถามเสียงเครียด

" มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้วะ ไอ้ปัฐ "

ผมนิ่งคิดนิดหนึ่งตามนิสัย
ก่อนตอบมันอย่างระมัดระวังว่า

" ถ้าได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น กูคงไม่เชื่อ แต่..นี่เป็นเรื่องที่มึงเล่าเอง กูย่อมเชื่อ.. "

ไอ้ ณัฐ จับมือผมเขย่าอย่างดีใจสุดประมาณ เพราะมันรู้ดีว่าคนอย่างผมไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรใครง่ายๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ( แต่มันลืมไปอย่างว่าคนอย่างผมน่ะ โกหกเป็น..!? )

ผมเองก็บอกกับตัวเองว่า
แม้ นี่จะเป็นเรื่องจากปากไอ้ณัฐเอง ผมก็ควรจะพิจารณาให้ครบถ้วนถ่องแท้อีกที และโอกาสที่มันจะเข้าใจผิดก็มีอยู่บ้าง เช่น มันมีโอกาสที่รอยรถนั้นจะเป็นของคันอื่นที่บังเอิญใช้ยางอย่างเดียวกับมัน.. ก็ยังคงเป็นไปได้..!! แต่ผมไม่ได้บอกมันไปเช่นนั้น

และเมื่อมันรู้คำตอบว่าผมเชื่อ มันก็หันมามองผมด้วยสายตาจริงจังอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบีบมาที่ไหล่แล้วพูดว่า

" ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่กูอยากเล่าให้มึงฟัง มันยังมีเรื่องที่รบกวนจิตใจกูเหลือเกิน กูจะต้องเล่าให้มึงฟังไห้ได้สักวัน "

พร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ

มันหันกลับไปที่รถของมัน เราล่ำลากันอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะแยกย้ายไปที่รถของตัวเอง พร้อมๆ กับถอนหายใจเฮือกใหญ่

เอาละสิ !
ไอ้ณัฐกลายเป็นคนเชื่อเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง?
แล้วยังมีเรื่องอะไรหนักใจมันกว่าเรื่องนี้ ?
ผมชักสงสัย!!

การเพลิดเพลินกับข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และการงมงายกับข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมไม่ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้คุณฟัง เพราะมันเป็นเรื่องของไอ้ณัฐผู้ไม่เคยโกหกใคร
แต่เป็นเพราะ

เป็นเวลาอันยาวนานที่ผมได้มีโอกาสได้รวบรวมข้อมูลเฉพาะเรื่องในทำนองนี้มา และผมก็พบว่าเป็นเรื่องที่น่าสนเท่ห์อย่างมาก
เมื่อ พบว่ามีการพบเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ค่อนข้างมากมายและหลากหลายยิ่ง ทั้งในหลายๆ คน และหลายๆ เหตุการณ์ ซึ่งแม้จะต่างกรรม ต่างวาระกัน ซึ่งแม้แต่ตัวผมเอง ก็ยังเคยเจอกับตัวเองในเหตุการณ์แบบนี้ด้วย(วันหลังจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีก)

แต่..! เหตุการณ์กลับคล้ายคลึงและสอดคล้องกันอย่างน่าสนใจยิ่ง
ในช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้

ผมได้พบว่า

มีหลายคนได้พบว่าตัวเขาเองมีประสบการณ์ ได้มีโอกาสเข้าไปพักอาศัยในที่ต่างๆ แต่เมื่อกลับไปเยือนอีกที กลับพบว่าที่ต่างๆ เหล่านั้นกลับไม่เคยมีอยู่ที่นั้นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก โรงแรม วัด พบได้แม้กระทั่งเมื่อตอนกลางคืนยังเป็นที่พัก แต่เมื่อตื่นเช้ามาพบตัวเองนอนอยู่ในที่ร้างที่ไม่มีวี่แววของที่พักในคืน ก่อนนอนนั้นเลย..

เรื่องราวหลายหลากที่มีจำนวนข้อมูลเป็นอันมากเหล่านี้
ทำให้ผมต้องหยุดพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง...

เพราะถ้านี่เป็นเพียงเรื่องโกหก หรือคำลวง !?
ด้วยจำนวนข้อมูลที่มีเป็นจำนวนมากที่ถูกค้นพบ

นี่..!! จะต้องเป็นการรวมหัวกันโกหกครั้งใหญ่มากๆ อย่างแน่นอน

เพื่อ ปกป้องความเป็นส่วนตัว.. ชื่อ และสถานที่ ที่เกี่ยวข้อง ในทุกๆ เรื่องที่ผมได้นำมาเล่าสู่คุณฟัง ทั้งในเรื่องนี้ เรื่องก่อนหน้านี้ และเรื่องหลังจากนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จึงต้องเรียนมาเพื่อทราบ



ผมไม่สนใจว่าคุณเชื่อเรื่องนี้หรือไม่

เพียงอยากได้ข้อคิดเห็นจากคุณเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้บ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในความเชื่อของผม...

ส่วนความเชื่อของคุณ และอะไรที่คุณเชื่อ..!

คือสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจเอง!!





ปัฐพี คเวสกรณ์

Tuesday, August 2, 2011

เขานั่งเป็นเพื่อน

บ้านผมเหมือนจะเป็นสุขศาลาประจำหมู่บ้านไปเสียแล้ว..
เมื่อน้าสาวคนหนึ่งของผมเป็นผดุงครรภ์..!!??

อ่า...!! อาจมีหลายคนงุนงงสงสัยว่า
สุขศาลาคืออะไร ?
ผดุงครรภ์คืออะไร ?
มันอาจจะเป็นภาษาที่ออกจะค่อนข้างเก่าสักนิด
ที่ใช้เรียก สถานีอนามัย และเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขประจำหมู่บ้านน่ะครับ
เก่าไปไม๊เนี่ย!
ก็ผมมันคนรุ่นเก่านี่ครับ ( ^อิอิ^ ) ก็เลยต้องขอพูดเรื่องสมัยเก่าๆ กันหน่อย

สมัยนั้นนะ..
ทั้งหมู่บ้าน มีทีวีอยู่เครื่องเดียว อยู่ที่บ้านกำนันนู่นแน่ะ
ซึ่งกำนันที่ว่านี่ก็ ปู่ผมเอง..
และสมัยนั้นนะ
ใครมีรถมอเตอร์ไซค์นี่โก้สุดๆ
ส่วนรถยนต์ ในหมู่บ้านเราตอนนั้นยังไม่มีใครมีสักคันเลยครับ ( หุหุ )
การสัญจรส่วนใหญ่ คนทั่วไป จะอาศัยใช้รถจักรยาน เป็นหลัก
( ที่พวกผมเรียกว่ารถถีบ ..เพราะเวลาจะขี่มันเราจะใช้วิธีถีบเอาเพื่อให้มันไปข้างหน้า )
หรือไม่ก็ ..เดินเอา!!
อย่างที่บอก..
ใครมีมอเตอร์ไซค์นี่ไม่ใช่แค่โก้เฉยๆ
แต่เวลาจะไปจีบสาวต่างหมู่บ้านนี่ ใครไม่มีมอเตอร์ไซค์ ก็ยากละครับ
เพราะฉะนั้น ไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้าน จึงมักไม่ค่อยแลสาวบ้านเดียวกัน
แต่ชอบที่จะแวะเวียนไปตามหมู่บ้านอื่นซะเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะ “ บ้านน้ำเลา “
ซึ่งขึ้นชื่อมากเรื่องมีสาวงามเป็นOTOPประจำหมู่บ้าน
หนุ่มๆ
ทั้งหนุ่มใหญ่ หนุ่มน้อย หนุ่มเหลือน้อย
มากหน้าหลายตา จากหลายหมู่บ้าน จึงมักแวะเวียนไปหาไปเยี่ยมชมกันเสมอๆ
แต่ เรื่องก็ใช่ว่าจะง่ายดายไร้อุปสรรคไปซะทั้งหมด
ทั้งนี้ทั้งนั้น..
อันการจะได้ชื่นชมดอกไม้งามมันก็ต้องมีขวากหนามกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ
ไปจนถึงบางครั้งถึงขั้นสาหัสก็มี
และอุปสรรคอันดับต้นๆ
ก็... เห็นจะเป็น...
นักเลงประจำถิ่นเขายังไงละครับ!!

เมื่อมีสาวงามเป็นของขึ้นชื่อของหมู่บ้าน
หนุ่มๆ ในหมู่บ้านจึงต้องพาลดุตามขึ้นไปด้วย
ดูเหมือนว่าไม่ว่าสมัยไหนๆ ก็เหมือนๆ กันนะนี่...

อ้าว..!!??
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ้านผมละฟ่ะ?
หลายคนอาจเริ่มนึกสงสัย..
ก็แหม.. ก็มีเรื่องกันมาทีไรจะไปไหนละ ?
ก็ต้องมาทำแผลที่บ้านผมทุกทีน่ะสิ นั่นละครับ!!
ผมถึงได้บอกไงว่า บ้านผมน่ะ
เหมือนจะกลายเป็นสุขศาลากลายๆ ไปแล้ว

ประมาณเดือนธันวาฯ หน้าหนาว ของปีหนึ่ง
ในบรรยากาศของปลายปี ที่กำลังจะผ่านพ้นไปชนต้นของอีกปี อากาศกำลังดีเลยครับ

มีหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน ซ้อนมอเตอร์ไซค์พากันไปจีบสาว
ที่บ้านน้ำเลานี่ละครับ
แล้วก็ไปเขม่นกับวัยรุ่นเจ้าถิ่นเขาเข้า
จนกระทั่งมีเรื่องมีราวกัน
พวกบ้านผมไปกันแค่สองคน แต่เจ้าถิ่นเขามีกันเป็นโขลง
พอรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว ก็พากันควบมอเตอร์ไซค์หนีกลับมา
แต่ ปรากฏว่าสายคันเร่งของมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมดันขาด ..ซะงั้น!
ขณะที่เจ้าถิ่นก็ไล่ตามมาติดๆ !!
พอ..จวนตัว!!!
คนขับ ก็เลยใช้นิ้วเกี่ยวดึงสายคันเร่ง เร่งเครื่องหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด..
( ความสามารถเฉพาะตัวที่อนุญาตให้เลียนแบบ )

แต่.. !
พอกลับมาถึงหมู่บ้าน
ก็ปรากฏว่า เพื่อนที่ซ้อนท้าย ซึ่งไม่พูดไม่จามาตลอดทาง
ปรากฏว่า ..ตาย ..เสีย ..แล้ว!?
โดยมีกรรไกรขาเดียวของนักเลงเจ้าถิ่นปักติดอยู่กลางหลัง
ทั้งๆ อย่างนั้น!
พี่แกก็ยังอุตส่าห์นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับมาได้จนถึงหมู่บ้าน!!
โดยไม่ตกไม่หล่นไปเสียก่อน
พอจอดรถได้นั่นแหละ!!!
คนขับถึงได้รู้ตัวว่า เพื่อนที่มาด้วยกันถูกแทงตายเสียแล้ว

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องเล่ากันในหมู่บ้านใหญ่โตกันเลยทีเดียวครับ
เพราะเมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน
พวกวัยรุ่นในหมู่บ้านรู้เข้าก็โมโห จะไปเอาเรื่องกับนักเลงน้ำเลา

เดือดร้อนปู่ผมซึ่งเป็นกำนัน และพวกผู้ใหญ่กับพวกผู้หญิง ต้องมาห้ามเอาไว้
ก่อนที่จะเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้
โดยปู่ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่งปู่จะไปแจ้งความให้เมื่อถึงตอนเช้า
แม้จะยอมเชื่อฟัง..
แต่ก็ยังมีการโมโหร้องตะโกนด่านักเลงต่างบ้านกันไม่ขาดปาก
จนคนในหมู่บ้านต้องมารวมตัวกันที่บ้านปู่กันจนแทบหมด
เพื่อกันไม่ไห้มีใครออกไปก่อเรื่องกันอีก..

เอ่อ..
กลับมาพูดถึงบ้านผมต่อนะ...
บ้านผมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง
มีชานกว้างหน้าบ้านเหมือนกับบ้านตามบ้านนอกทั่วไปน่ะแหละ
ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่นๆ เขาเท่าไร
ถัดจากชานเข้าไปในบ้านก็เป็นโถงกลางขนาดใหญ่
เชื่อมกับห้องนอนซึ่งมีอยู่ 3 ห้องด้วยกัน
ด้านเหนือเป็นห้องนอนตา
ตะวันออกเป็นห้องของพ่อกับแม่ผม ซึ่งมีด้านเหนือติดกับชานหน้าบ้าน
หรือก็คือห้องจะอยู่ด้านใต้ของชานบ้านนั่นเอง ซึ่งปกติห้องนี้จะไม่มีไครอยู่
เพราะพ่อกับแม่ผมจะมาอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งใกล้โรงเรียนที่พ่อสอนอยู่เสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนห้องสุดท้ายอยู่ทางตะวันตก
เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ( มากๆ ) ของพวกน้าสาวผม
อยู่กันหลายคนทีเดียว
และเป็นห้องเดียวที่ไม่ติดชานบ้าน
ส่วนทิศใต้เป็นห้องครัวและห้องน้ำ
ดังนั้น เวลาจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินออกมาเข้าห้องน้ำทางหลังบ้าน
นับว่าไกลห้องนอนพอดู
โดยเฉพาะ เมื่อผมนอนห้องทิศเหนือกับตา..

จากชานบ้านมาถึงห้องโถง
กั้นไว้ด้วยผนังไม้แผ่นบางๆ และประตูเข้าบ้าน
และถ้ามีใครเป็นอะไรในตอนกลางคืนที่สุขศาลาปิดแล้ว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะพามาที่บ้านผม
และการรักษาโดยส่วนใหญ่ ก็จะทำกันที่ชานหน้าบ้านนั่นละครับ !!
เปิดประตูบ้านออกไปก็จะเจอกันพอดี
หลายครั้งที่บ้านผมจะมีคนป่วยมานอนอยู่ที่ชานหน้าบ้านด้วย
บางทีก็ตลอดทั้งคืน
บางคืนก็จะมีคนมานอนเฝ้ากันหลายคนด้วย
ทำให้บ้านผมไม่ค่อยเงียบเหงาวังเวง เหมือนบ้านอื่นๆ สมัยนั้น
ยุงแมลงก็ไม่ดุไม่ชุมไม่ดื้อเหมือนสมัยนี้
( สมัยนี้คนจะตายเพราะยากันยุงก่อนที่ยุงจะตายเสียอีกนะ )
นอนตรงชานบ้านก็สบายดีไม่ต้องมีแอร์หรือพัดลม
แค่ลมธรรมชาติ ก็เย็นเหลือเฟือ
ดังนั้นการนอนที่ชานบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
สบายดีเสียด้วยซ้ำ!!

บ่อยครั้ง..
ที่น้าสาวผม ต้องถูกตามตัวไปกลางดึกเพื่อรักษาคนป่วยถึงบ้าน
เพราะความป่วยไข้ไม่เข้าใครออกใคร และไม่เลือกเวลาที่จะเป็นเสียด้วยสิ
ตาผมจึงมักจะต้องตามไปส่งน้าสาวด้วย
เพราะบ้านนอกตอนกลางคืนสมัยนั้น มันน่ากลัวนะครับ !
รวมถึงบางครั้งก็หนีบเอาน้าสาวคนอื่นๆ ไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้ไปกันหมด
ดังนั้นที่บ้านก็จะเหลือผมกับน้าสาวคนที่ไม่ได้ไปด้วยอยู่ด้วยกัน
( แต่นอนคนละห้องนะ ผมจะนอนกับตาที่ห้องนอนตา ถ้าตาไม่อยู่ผมก็นอนคนเดียวได้
เพราะผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไร ส่วนยายจะไปอยู่กับพ่อแม่ผมที่บ้านอีกหลังเป็นส่วนใหญ่ )

กลางดึกคืนหนึ่ง
ผมตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อเข้าห้องน้ำ
ซึ่งผมมักจะตื่นมาเข้าห้องน้ำเสมอในตอนกลางคืน แม้ว่าก่อนเข้านอนจะเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ตาม
แต่ก็อย่างว่า
บ้านผมมีคนเยอะ
และผมก็ชินกับการไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนคนเดียวแล้วด้วย
การไปห้องน้ำตอนกลางคืนจึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม
มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

เพียงแต่..!
ครั้งนี้...!!
เมื่อผมกลับมาถึงที่นอนก็พบว่า
ตาไม่อยู่ที่ๆ นอนเสียแล้ว !!!

อ้าว..!
แล้วไปไหนกันละนี่ ?
บางที.. อาจจะมีคนป่วยอีกแล้ว..!?

ตาคงออกไปกับน้าสาวคนที่เป็นผดุงครรภ์มั้ง?
ด้วยความที่คิดว่าพวกน้าสาวคงยังนอนอยู่ในห้อง ผมเลยไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก
และล้มตัวลงนอนทันทีที่ถึงเตียง


แต่คืนนี้ .. !!
หลังจากตื่นขึ้นมากลางดึก
ผมกลับนอนไม่หลับ
มันรู้สึกกระสับกระส่าย ตะครั่นตะครอตัว เย็นยะเยือกวังเวงยังไงก็ไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน

และในที่สุด!
ผมก็ไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้
เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียง ก็พบว่าประตูห้องของพวกน้าสาว เปิดแง้มทิ้งเอาไว้อยู่
ซึ่งปกติมันไม่เคยเปิดทิ้งไว้ แม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม
เพราะมันเป็นห้องส่วนตัวของพวกผู้หญิง และมักมีพวกผู้หญิงอยู่ในห้องเสมอ

เอ..!
ยังไงกันละนี่?
ผมลุกจากเตียงเดินไปที่ห้องของพวกน้าสาวอย่างสงสัย
มือผมสั่นเล็กน้อย ขณะเอื้อมมือออกไปจะเปิดประตู

และแล้ว..
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก
ผมก็ได้พบว่า
ในห้อง! ไม่มีใครอยู่เลย..!!
อ้าว...!? แล้ว..หายไปไหนกันหมดละนี่?

แม้จะบอกว่าตัวเองเป็นคนกล้า แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก
ใจผมเริ่มเสีย
เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจาก ” ผม “ คนเดียวเท่านั้น!!
ผมรวบรวมความกล้าเดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้าน
ว่าจะออกไปดูนอกชานสักหน่อยเผื่อมีใครอยู่ที่นั่นบ้าง...!

แล้วก็มีจริงๆ!!
มีคนนั่งตัวสั่นพิงผนังชานบ้านผมอยู่
เขาหันหลังให้กับตัวบ้านแล้วขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด
พร้อมกับส่งเสียงครางฮือๆ.. เบาๆ อยู่ในลำคอ

ผมเริ่มใจชื้นขึ้นมาทันที
แม้จะมองไม่เห็นว่าเขาคนนั้นเป็นใคร
เพราะเขาห่มผ้าขาวซะมิดชิด ปิดไปทั้งตัว คลุมไปถึงหัวเลยทีเดียว..
อากาศค่อนข้างเย็น ผมจึงคิดว่านอกชานอาจจะหนาวมากกระมัง ถึงห่มผ้าซะมิดชิดขนาดนั้น
รึไม่เช่นนั้น?
เขาก็อาจจะหนาวเพราะเป็นไข้

คิดได้แค่นั้น
ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงในบ้าน
แล้วหันหลังพิงฝาชนกับคนข้างนอกชาน
ลักษณะเหมือนนั่งหันหลังชนกันแต่มีฝาไม้กระดานกั้นเท่านั้นเอง

เสียงคนนอกชานกระแอมกระไอ แล้วบ่นมาให้ได้ยินเบาๆ ว่าหนาว
พรางขยับกระชับผ้าห่อเข้าหาตัวอีก
ผมคิดในใจว่า
“ถ้าหนาวนักที่นอกชานก็มีผ้าห่มอยู่อีกตั้งหลายผืนไม่ยักเอามาห่ม”
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
และผมก็ดีใจนะ
ที่ตอนนั้นมีคนนั่งเป็นเพื่อน
เมื่อคนในบ้านไม่มีใครอยู่เลยในตอนนั้น

ด้วยความโล่งใจที่มีเพื่อนนั่งอยู่ด้วย และแล้ว..
ผมก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้า
เสียงพูดคุยแว่วมาเบาๆ จากหน้าบ้าน
พวกผู้ใหญ่กลับมากันแล้ว ผมรีบเปิดประตูลงไปดูข้างล่าง...
ลืมคนที่นั่งด้วยนอกชานซะสนิท!!!

พวกที่มา นั่งบ้าง ยืนบ้าง ล้อมวงคุยกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ถุนบ้าน
ผมเห็นมีก็แต่พวกผู้ชาย ส่วนพวกผู้หญิงนั้นยังไม่เห็น
ตาบอกว่า
อยู่เป็นเพื่อนน้าสาวที่เป็นผดุงครรภ์ที่บ้านปู่
ส่วนตากับพวกผู้ชายกลับมาเอาศพไปไว้ที่บ้านคนตายก่อน...
...
.......

อ้าว...!!

เฮ้ย.. ตา!!!

อย่าล้อเล่นน่า...
ศพเรอะ !!??

ศพใคร ?

ศพไหนอ่ะ??

ผมไม่ยักกะเห็นมีศพใครที่ไหนเลย???

แล้วจะมาเอาศพอะไรกันที่บ้านผม!?

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย !!??

คำพูดตาทำเอาผมงงไปหมดแล้วตอนนี้...

ครับ..!!
ถึงตอนนี้ แม้ว่าผมจะยังออกอาการงงๆ อยู่เล็กน้อย
แต่..หลายๆ คนอาจจะเดาออกแล้วกระมังว่า...
อะไร?
เป็นอะไร!?

ถ้ายังไม่รู้..!
ไม่เป็นไร!!
มา..
ตามผมมา...
เดี๋ยว..! ผมจะเล่าให้ฟังเอง..


เรื่องมีอยู่ว่า...
หลังจากหนุ่มมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านหนีกลับจากบ้านน้ำเลามาถึงหมู่บ้านได้แล้วนั้น
และ เมื่อรู้ว่าเพื่อนถูกแทง
พวกเขาก็พากันพาคนเจ็บ ( ซึ่งที่จริงตอนนั้นน่าจะเป็นคนตายไปแล้ว..มั้ง? )
มาที่บ้านผม เพื่อให้น้าสาวผมช่วยดูอาการให้
และ..เมื่อรู้ว่าเพื่อนตายเสียแล้ว พวกเขาก็พากันห่อศพไว้ที่ชานหน้าบ้านผม
แล้วไปรวมตัวกันเพื่อหมายที่จะไปแก้แค้น
แต่ตาผมก็ไปเรียกปู่มาระงับเหตุได้ทันเสียก่อน

และแล้ว..
ทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่บ้านของปู่
ดังนั้นที่บ้านผมจึงไม่มีใครอยู่เลย
ทิ้งผมนอนอยู่บ้านคนเดียว! ( เออ..จำใว้ !! ทำกันได้นะคนเรา T0T )

และมันก็น่าสงสัยแปลกใจโขอยู่เหมือนกันว่า..
เขามีเรื่องมีราวกันขนาดนั้นแล้ว
แต่ไหงผมกลับนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ไม่รู้เรื่องรู้ราว !?
ทั้งๆ ที่ปกติ ผมออกจะหลับง่ายตื่นง่ายเสมอ
แต่ปัญหาข้อสงสัยของผมเรื่องนี้ยังไม่เท่าไร
เมื่อเทียบกับ..
ตอนที่ตาเดินขึ้นมาบนบ้าน แล้วบ่นอุบอิบอย่างหัวเสีย ออกมาว่า

“ แล้วใครมันเอาศพมาพิงพนังไว้ว่ะนี่ อุตสาห์จัดให้นอนแล้วห่ออย่างดีแล้วนะ? “

เอ่อ..!!??
จริงดิตา..!!

อ้าว...!?...เฮ้ย...!!?? งั้น..!! งั้น...!!!

ไอ้ที่นั่งพิงพนังอยู่กับผมทั้งคืนน่ะ...
ศพเรอะ!!??


ปัฐพี คเวสกรณ์

คุณตาของเธอ

ผมเป็นคนขวางโลก
เพราะฉะนั้นผมจึงนอนขวางไปกับพื้น อยู่หน้าประตูห้องเรียน
ผมตัวใหญ่ ผมไม่กลัวใคร ดังนั้น
จึงไม่มีใครกล้าว่าผม
นอกจากเดินเลี่ยงๆ ไป แล้วก็บ่นเบาๆ เท่านั้น

ตอนที่ผมอยู่ ป.5 อยู่นั้น ก็มีแฟนมาแล้ว 3 – 4 คน เห็นจะได้
แต่ก็นั้นแหละ สมัยเด็กๆ
แค่อยู่ใกล้กันนิดสนิทกันหน่อย ใครๆ ก็เรียกเราว่า เป็นแฟนกันแล้ว

อันความรักในวัยนั้น
แค่นั่งใกล้ก็เป็นแฟนฉัน สนิทกันก็เรียกแฟนเธอ ได้แล้ว
แต่พอแยกห้องกัน ก็ลืมๆ กันไป
และสมัยประถม ก็ย้ายห้องทุกปีด้วยซี
ผมเลยมีแฟนใหม่ทุกปีเหมือนกัน

และแล้วเธอคนนั้นก็เข้ามา..
เธอเดินเข้ามาตรงที่ผมนอนอยู่
ยืนขาชิดเอามือปิดชายกระโปรงแนบไว้กับขา
ยิ้มแล้วก็บอกว่าผมเกะกะทางเดินนะ ก่อนจะค้อนเล็กๆ ที่ปากและหางตา
เสื้อสีขาวคอปก ตัดกับโบว์สีน้ำเงินและกระโปรงนักเรียนสีน้ำเงิน
ไม่ได้ทำให้เธอโดดเด่นกว่านักเรียนคนอื่นๆ
ได้เท่ากับ ผมสีดำขรับ ตาคม หน้ากลมมน ขนตางอนนั้น กับรอยยิ้มประทับใจผมทันทีที่แรกเห็น

เธออยู่ห้องเดียวกันกับผม แต่ไม่ได้นั่งใกล้กัน
ที่นั่งเธออยู่ด้านหน้าผมไปอีก 3 แถว เยื้องขวาไปอีก 2 แถว
ผมนั่งแถวแรกตัวสุดท้าย เธอนั่งแถวที่ 4 ตัวที่ 3
ผมมักนั่งมองเธอจากตรงนั้น

ไม่รู้รู้สึกไปเองรึเปล่า
นับแต่วันที่เราคุยกันที่หน้าห้อง ที่ผมนอนขวางทางเธออยู่
ทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก็จะเห็นเธอหันกลับมามองผมแล้วหัวเราะเช่นกัน

บางทีคลื่นเราอาจตรงกัน
( หรือไม่ผมก็อาจคิดไปเอง เธออาจหันมาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่ผมเห็นแค่ครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมองก็ได้ )
และ..
แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมบีบคั้นจนปวดไปทั้งอก ได้ไม่ยากแล้ว

เราสนิทกันมากขึ้น คุยกันบ่อยขึ้น
ความสัมพันธ์วัยเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ในที่สุด !!
“เราก็ถูกล้อว่าเป็นแฟนกัน”
ผมไม่โกรธ เธอไม่โกรธ แค่เขินๆ ดูเหมือนจะดีใจมากกว่า
แล้วตอนนี้ เราก็เปลี่ยนสถานะ จาก ”เพื่อนสนิท” กลายเป็น ”แฟนฉัน” กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และแล้ววันหนึ่ง..
เธอก็ชวนผมไปเยี่ยมคุณตาของเธอ ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะไม่สบาย

โรงเรียนพวกผมอยู่ในตัวจังหวัด
ดังนั้นจึงอยู่ไม่ไกลโรงพยาบาลประจำจังหวัดนัก
วันนั้นเธอชวนผมไปเป็นเพื่อน เพื่อเยี่ยมคุณตาของเธอตอนเย็นหลังเลิกเรียน

โดยปกติแล้วผมจะเดินทาง ไป-กลับบ้าน กับรถของโรงเรียน
และถ้าไปกับเธอ ต้องกลับมาไม่ทันรถมารับแน่นอน
แต่จะมีความหมายอะไร
ยังไงผมก็ไปกับเธออยู่ดี...

ความรู้สึกได้ทำความผิดนั้น รสมันเปี้ยวๆ ขมๆ และก็หวานมันไปพร้อมกัน
คนขับรถต้องตามหาตัวผมซึ่งหายไปแน่..
โรงเรียนเองก็คงวุ่นน่าดู ที่ผมหายตัวไปโดยไม่บอกใคร
แต่บอกแล้วไง !
ว่ายังไงผมก็ไม่แคร์.. และ ยังไงผมก็จะไปอยู่ดี!!
แม้จะรู้ว่ากลับมาต้องโดนดุแน่ๆ ก็ตาม..!!!

คุณตาของเธอเป็นคนใจดี คุยสนุก แม้จะยังนอนอยู่บนเตียงอยู่ก็ตาม
โดยเฉพาะกับผม เราคุยกันถูกคอมาก
คุณตาแซวว่าเป็นแฟนหลานเขา ต้องเอาใจให้ดี และรักกันนานๆ นะ อะไรประมาณนี้
ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มรับ ไม่ได้โต้แย้งอะไร
แกซักผมหลายเรื่อง แต่ไม่ได้ซักอย่างเอาเป็นเอาตายนะ
แค่ถามเรื่องทั่วๆ ไป อย่าง
เป็นลูกเต้าเหล่าใคร? รู้จักกับหลานแกได้อย่างไร? เท่านั้นเอง
และ ก่อนจะกลับ
แกก็ให้ลูกอมซึ่งเป็นของเยี่ยมแก ให้พวกผมมากำมือหนึ่ง
เป็นรถบ๊วย อร่อยดีเหมือนกัน

พอกลับมาถึงโรงเรียน ผมก็ถูกดุตามคาด
แต่ก็ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากนักหรอกสำหรับผม
ฟังผ่านๆ หูไปเท่านั้นเอง
( เธอไม่ได้กลับมาด้วย แต่อยู่กับตาที่โรงพยาบาล รอแม่มารับกลับบ้านอยู่ที่นั่นเลย )
และแล้ววันหนึ่ง
เป็นวันอาทิตย์
ญาติผมคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาล
ก็โรงพยาบาลในตัวจังหวัดนั่นละ..
พวกญาติๆ คนอื่นจึงพากันไปเยี่ยม รวมทั้งผมด้วย..
พอรู้ว่า ไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ต้องนอนโรงพยาบาลไปก่อน
พวกผู้ใหญ่ก็ออกมาคุยกันนอกห้อง
ผมเลยขอตัวออกไปเดินเล่น

บ้านผมไม่ห่วงลูกหวงหลานกันมากนัก ผมเลยมีโอกาสทำอะไรตามใจได้มาก
ดังนั้น..
จึงไม่มีใครห้ามเมื่อผมขอไปเดินเล่น
ก็ไปที่ห้องคุณตานั่นละครับ
ด้วยหวังว่าจะเจอเธอที่นี่ วันนี้

แต่ปรากฏว่า
ไม่เจอใครเลย เตียงของคุณตาก็ว่างเปล่า..
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าคุณตาคงหายดีกลับบ้านได้แล้วกระมัง
พร้อมทั้งหันหลังจะกลับ
ก็ต้องสะดุ้ง ตกใจ เมื่อพบว่า
คุณตานั่งอยู่ที่ระเบียงที่ผมพึ่งเดินผ่านมาเมื่อกี้
( ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร ตอนผมเดินเข้ามายังไม่ทันเห็น
แต่มองเข้าไปในห้องแป๊ปเดียวแกมานั่งยิ้มร่าอยู่ที่ระเบียงนั่นแล้ว )

พอหันไปเจอแกผมก็ยกมือไหว้ แกก็ไหว้ตอบ และถามว่า มาเยี่ยมแกหรือมาหาใครจ้ะ?
( พร้อมกับหัวเราะอย่างรู้ทัน )
ผมได้แต่ยิ้มแล้วตอบไปว่า “ก็มาเยี่ยมคุณตานั่นละครับ แหะๆ..”
( ผมพูดพร้อมกับหัวเราะแก้เขิน )

ผมอยู่พูดคุยกับแกอย่างออกรส อีกหลายเรื่อง แล้วอยู่ๆ
คุณตาก็บอกว่า ฝากดูแลหลานแกด้วยนะ
รักกันให้นานๆ อย่าทะเลาะกัน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันเอา
ซึ่งผมก็รับคำอย่างงงๆ
แล้วคุณตาก็ขอตัวไป บอกว่า ต้องไปพบคนอื่นอีก
ว่าแล้วแกก็ยื่นลูกอมรสบ๊วยให้ผมอีกเม็ดหนึ่ง ก่อนไป !
ซึ่ง.. ผมก็แกะอมทันทีที่แกลับตาไป รสมันหวานๆ เค็มๆ อร่อยดี..

วันจันทร์ !!
วันนี้เธอคนนั้นไม่มาเรียน คุณครูบอกว่าตาของเธอเสียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เธอจึงต้องลาไปงานศพคุณตาสัก 2 - 3 วัน...

เดี๋ยวๆๆ ! เดี๋ยวนะ !!
เดี๋ยวสิ !!!
เมื่อกี้คุณครูบอกว่าวันไหนนะ ? ที่คุณตาเสีย

ผมไม่แน่ใจ แต่เหมือนได้ยินครูบอกว่าวันศุกร์นะ ใช่มะ ?
แต่..!! วันอาทิตย์..
เมื่อวาน...
ผมยังเจอคุณตาอยู่นี่นา
แกยังให้ลูกอมรสบ๊วยกับผมอยู่เลย
( รสขม เป็นปื้นๆทะลักขึ้นมาในลำคอผมทันที )
แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ?

วันอาทิตย์.. (ต่อมา)
ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานศพของคุณตาด้วย พร้อมกับนึกในใจอยู่ว่า
จะดูแลหลานแกให้ดีที่สุด ตามที่เคยรับปากแกไว้
แว่วเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยของคุณตา
ดังมาจากม้านั่งทางด้านหลัง ซึ่งแขกเหรื่อนั่งอยู่กันมากมาย ดังขึ้นแว่วๆ

ผมหันไปมองแต่ไม่เห็นใครหัวเราะเลยสักคน
โดยเฉพาะในงานอย่างนี้

พอขึ้นเรียนชั้น ป.6
เราก็แยกห้องกัน..
และห่างกันไปตามเวลา...
แต่ผมยังคงไม่เคยลืมความรู้สึกที่ว่า “รักเธอ” ได้เลย
แม้จนบัดนี้ !!

แม้เราจะไม่ใช่แฟนกันอีกแล้ว
แต่ผมก็ยังติดต่อถามไถ่ข่าวคราวของเธอ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่เสมอ
และเธอคงไม่คิดว่า มันจะเป็นการรบกวนเธอจนเกินไปนัก
เพราะทุกวันนี้ เราก็ยังคงคบหาเป็นเพื่อนกันอยู่เช่นเดิมเสมอ
ดังที่ได้รับปากกับคุณตาของเธอเอาไว้ว่า.. ผมจะดูแลเธอตลอดไป...



ปัฐพี คเวสกรณ์