mybloglog

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา
อยู่ระหว่างหนีเที่ยว

Search This Blog

Pages

Tuesday, August 2, 2011

เขานั่งเป็นเพื่อน

บ้านผมเหมือนจะเป็นสุขศาลาประจำหมู่บ้านไปเสียแล้ว..
เมื่อน้าสาวคนหนึ่งของผมเป็นผดุงครรภ์..!!??

อ่า...!! อาจมีหลายคนงุนงงสงสัยว่า
สุขศาลาคืออะไร ?
ผดุงครรภ์คืออะไร ?
มันอาจจะเป็นภาษาที่ออกจะค่อนข้างเก่าสักนิด
ที่ใช้เรียก สถานีอนามัย และเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขประจำหมู่บ้านน่ะครับ
เก่าไปไม๊เนี่ย!
ก็ผมมันคนรุ่นเก่านี่ครับ ( ^อิอิ^ ) ก็เลยต้องขอพูดเรื่องสมัยเก่าๆ กันหน่อย

สมัยนั้นนะ..
ทั้งหมู่บ้าน มีทีวีอยู่เครื่องเดียว อยู่ที่บ้านกำนันนู่นแน่ะ
ซึ่งกำนันที่ว่านี่ก็ ปู่ผมเอง..
และสมัยนั้นนะ
ใครมีรถมอเตอร์ไซค์นี่โก้สุดๆ
ส่วนรถยนต์ ในหมู่บ้านเราตอนนั้นยังไม่มีใครมีสักคันเลยครับ ( หุหุ )
การสัญจรส่วนใหญ่ คนทั่วไป จะอาศัยใช้รถจักรยาน เป็นหลัก
( ที่พวกผมเรียกว่ารถถีบ ..เพราะเวลาจะขี่มันเราจะใช้วิธีถีบเอาเพื่อให้มันไปข้างหน้า )
หรือไม่ก็ ..เดินเอา!!
อย่างที่บอก..
ใครมีมอเตอร์ไซค์นี่ไม่ใช่แค่โก้เฉยๆ
แต่เวลาจะไปจีบสาวต่างหมู่บ้านนี่ ใครไม่มีมอเตอร์ไซค์ ก็ยากละครับ
เพราะฉะนั้น ไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้าน จึงมักไม่ค่อยแลสาวบ้านเดียวกัน
แต่ชอบที่จะแวะเวียนไปตามหมู่บ้านอื่นซะเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะ “ บ้านน้ำเลา “
ซึ่งขึ้นชื่อมากเรื่องมีสาวงามเป็นOTOPประจำหมู่บ้าน
หนุ่มๆ
ทั้งหนุ่มใหญ่ หนุ่มน้อย หนุ่มเหลือน้อย
มากหน้าหลายตา จากหลายหมู่บ้าน จึงมักแวะเวียนไปหาไปเยี่ยมชมกันเสมอๆ
แต่ เรื่องก็ใช่ว่าจะง่ายดายไร้อุปสรรคไปซะทั้งหมด
ทั้งนี้ทั้งนั้น..
อันการจะได้ชื่นชมดอกไม้งามมันก็ต้องมีขวากหนามกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ
ไปจนถึงบางครั้งถึงขั้นสาหัสก็มี
และอุปสรรคอันดับต้นๆ
ก็... เห็นจะเป็น...
นักเลงประจำถิ่นเขายังไงละครับ!!

เมื่อมีสาวงามเป็นของขึ้นชื่อของหมู่บ้าน
หนุ่มๆ ในหมู่บ้านจึงต้องพาลดุตามขึ้นไปด้วย
ดูเหมือนว่าไม่ว่าสมัยไหนๆ ก็เหมือนๆ กันนะนี่...

อ้าว..!!??
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ้านผมละฟ่ะ?
หลายคนอาจเริ่มนึกสงสัย..
ก็แหม.. ก็มีเรื่องกันมาทีไรจะไปไหนละ ?
ก็ต้องมาทำแผลที่บ้านผมทุกทีน่ะสิ นั่นละครับ!!
ผมถึงได้บอกไงว่า บ้านผมน่ะ
เหมือนจะกลายเป็นสุขศาลากลายๆ ไปแล้ว

ประมาณเดือนธันวาฯ หน้าหนาว ของปีหนึ่ง
ในบรรยากาศของปลายปี ที่กำลังจะผ่านพ้นไปชนต้นของอีกปี อากาศกำลังดีเลยครับ

มีหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน ซ้อนมอเตอร์ไซค์พากันไปจีบสาว
ที่บ้านน้ำเลานี่ละครับ
แล้วก็ไปเขม่นกับวัยรุ่นเจ้าถิ่นเขาเข้า
จนกระทั่งมีเรื่องมีราวกัน
พวกบ้านผมไปกันแค่สองคน แต่เจ้าถิ่นเขามีกันเป็นโขลง
พอรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว ก็พากันควบมอเตอร์ไซค์หนีกลับมา
แต่ ปรากฏว่าสายคันเร่งของมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมดันขาด ..ซะงั้น!
ขณะที่เจ้าถิ่นก็ไล่ตามมาติดๆ !!
พอ..จวนตัว!!!
คนขับ ก็เลยใช้นิ้วเกี่ยวดึงสายคันเร่ง เร่งเครื่องหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด..
( ความสามารถเฉพาะตัวที่อนุญาตให้เลียนแบบ )

แต่.. !
พอกลับมาถึงหมู่บ้าน
ก็ปรากฏว่า เพื่อนที่ซ้อนท้าย ซึ่งไม่พูดไม่จามาตลอดทาง
ปรากฏว่า ..ตาย ..เสีย ..แล้ว!?
โดยมีกรรไกรขาเดียวของนักเลงเจ้าถิ่นปักติดอยู่กลางหลัง
ทั้งๆ อย่างนั้น!
พี่แกก็ยังอุตส่าห์นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับมาได้จนถึงหมู่บ้าน!!
โดยไม่ตกไม่หล่นไปเสียก่อน
พอจอดรถได้นั่นแหละ!!!
คนขับถึงได้รู้ตัวว่า เพื่อนที่มาด้วยกันถูกแทงตายเสียแล้ว

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องเล่ากันในหมู่บ้านใหญ่โตกันเลยทีเดียวครับ
เพราะเมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน
พวกวัยรุ่นในหมู่บ้านรู้เข้าก็โมโห จะไปเอาเรื่องกับนักเลงน้ำเลา

เดือดร้อนปู่ผมซึ่งเป็นกำนัน และพวกผู้ใหญ่กับพวกผู้หญิง ต้องมาห้ามเอาไว้
ก่อนที่จะเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้
โดยปู่ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่งปู่จะไปแจ้งความให้เมื่อถึงตอนเช้า
แม้จะยอมเชื่อฟัง..
แต่ก็ยังมีการโมโหร้องตะโกนด่านักเลงต่างบ้านกันไม่ขาดปาก
จนคนในหมู่บ้านต้องมารวมตัวกันที่บ้านปู่กันจนแทบหมด
เพื่อกันไม่ไห้มีใครออกไปก่อเรื่องกันอีก..

เอ่อ..
กลับมาพูดถึงบ้านผมต่อนะ...
บ้านผมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง
มีชานกว้างหน้าบ้านเหมือนกับบ้านตามบ้านนอกทั่วไปน่ะแหละ
ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่นๆ เขาเท่าไร
ถัดจากชานเข้าไปในบ้านก็เป็นโถงกลางขนาดใหญ่
เชื่อมกับห้องนอนซึ่งมีอยู่ 3 ห้องด้วยกัน
ด้านเหนือเป็นห้องนอนตา
ตะวันออกเป็นห้องของพ่อกับแม่ผม ซึ่งมีด้านเหนือติดกับชานหน้าบ้าน
หรือก็คือห้องจะอยู่ด้านใต้ของชานบ้านนั่นเอง ซึ่งปกติห้องนี้จะไม่มีไครอยู่
เพราะพ่อกับแม่ผมจะมาอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งใกล้โรงเรียนที่พ่อสอนอยู่เสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนห้องสุดท้ายอยู่ทางตะวันตก
เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ( มากๆ ) ของพวกน้าสาวผม
อยู่กันหลายคนทีเดียว
และเป็นห้องเดียวที่ไม่ติดชานบ้าน
ส่วนทิศใต้เป็นห้องครัวและห้องน้ำ
ดังนั้น เวลาจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินออกมาเข้าห้องน้ำทางหลังบ้าน
นับว่าไกลห้องนอนพอดู
โดยเฉพาะ เมื่อผมนอนห้องทิศเหนือกับตา..

จากชานบ้านมาถึงห้องโถง
กั้นไว้ด้วยผนังไม้แผ่นบางๆ และประตูเข้าบ้าน
และถ้ามีใครเป็นอะไรในตอนกลางคืนที่สุขศาลาปิดแล้ว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะพามาที่บ้านผม
และการรักษาโดยส่วนใหญ่ ก็จะทำกันที่ชานหน้าบ้านนั่นละครับ !!
เปิดประตูบ้านออกไปก็จะเจอกันพอดี
หลายครั้งที่บ้านผมจะมีคนป่วยมานอนอยู่ที่ชานหน้าบ้านด้วย
บางทีก็ตลอดทั้งคืน
บางคืนก็จะมีคนมานอนเฝ้ากันหลายคนด้วย
ทำให้บ้านผมไม่ค่อยเงียบเหงาวังเวง เหมือนบ้านอื่นๆ สมัยนั้น
ยุงแมลงก็ไม่ดุไม่ชุมไม่ดื้อเหมือนสมัยนี้
( สมัยนี้คนจะตายเพราะยากันยุงก่อนที่ยุงจะตายเสียอีกนะ )
นอนตรงชานบ้านก็สบายดีไม่ต้องมีแอร์หรือพัดลม
แค่ลมธรรมชาติ ก็เย็นเหลือเฟือ
ดังนั้นการนอนที่ชานบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
สบายดีเสียด้วยซ้ำ!!

บ่อยครั้ง..
ที่น้าสาวผม ต้องถูกตามตัวไปกลางดึกเพื่อรักษาคนป่วยถึงบ้าน
เพราะความป่วยไข้ไม่เข้าใครออกใคร และไม่เลือกเวลาที่จะเป็นเสียด้วยสิ
ตาผมจึงมักจะต้องตามไปส่งน้าสาวด้วย
เพราะบ้านนอกตอนกลางคืนสมัยนั้น มันน่ากลัวนะครับ !
รวมถึงบางครั้งก็หนีบเอาน้าสาวคนอื่นๆ ไปด้วย
แต่ก็ไม่ได้ไปกันหมด
ดังนั้นที่บ้านก็จะเหลือผมกับน้าสาวคนที่ไม่ได้ไปด้วยอยู่ด้วยกัน
( แต่นอนคนละห้องนะ ผมจะนอนกับตาที่ห้องนอนตา ถ้าตาไม่อยู่ผมก็นอนคนเดียวได้
เพราะผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไร ส่วนยายจะไปอยู่กับพ่อแม่ผมที่บ้านอีกหลังเป็นส่วนใหญ่ )

กลางดึกคืนหนึ่ง
ผมตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อเข้าห้องน้ำ
ซึ่งผมมักจะตื่นมาเข้าห้องน้ำเสมอในตอนกลางคืน แม้ว่าก่อนเข้านอนจะเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ตาม
แต่ก็อย่างว่า
บ้านผมมีคนเยอะ
และผมก็ชินกับการไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนคนเดียวแล้วด้วย
การไปห้องน้ำตอนกลางคืนจึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม
มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

เพียงแต่..!
ครั้งนี้...!!
เมื่อผมกลับมาถึงที่นอนก็พบว่า
ตาไม่อยู่ที่ๆ นอนเสียแล้ว !!!

อ้าว..!
แล้วไปไหนกันละนี่ ?
บางที.. อาจจะมีคนป่วยอีกแล้ว..!?

ตาคงออกไปกับน้าสาวคนที่เป็นผดุงครรภ์มั้ง?
ด้วยความที่คิดว่าพวกน้าสาวคงยังนอนอยู่ในห้อง ผมเลยไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก
และล้มตัวลงนอนทันทีที่ถึงเตียง


แต่คืนนี้ .. !!
หลังจากตื่นขึ้นมากลางดึก
ผมกลับนอนไม่หลับ
มันรู้สึกกระสับกระส่าย ตะครั่นตะครอตัว เย็นยะเยือกวังเวงยังไงก็ไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน

และในที่สุด!
ผมก็ไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้
เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียง ก็พบว่าประตูห้องของพวกน้าสาว เปิดแง้มทิ้งเอาไว้อยู่
ซึ่งปกติมันไม่เคยเปิดทิ้งไว้ แม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม
เพราะมันเป็นห้องส่วนตัวของพวกผู้หญิง และมักมีพวกผู้หญิงอยู่ในห้องเสมอ

เอ..!
ยังไงกันละนี่?
ผมลุกจากเตียงเดินไปที่ห้องของพวกน้าสาวอย่างสงสัย
มือผมสั่นเล็กน้อย ขณะเอื้อมมือออกไปจะเปิดประตู

และแล้ว..
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก
ผมก็ได้พบว่า
ในห้อง! ไม่มีใครอยู่เลย..!!
อ้าว...!? แล้ว..หายไปไหนกันหมดละนี่?

แม้จะบอกว่าตัวเองเป็นคนกล้า แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก
ใจผมเริ่มเสีย
เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจาก ” ผม “ คนเดียวเท่านั้น!!
ผมรวบรวมความกล้าเดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้าน
ว่าจะออกไปดูนอกชานสักหน่อยเผื่อมีใครอยู่ที่นั่นบ้าง...!

แล้วก็มีจริงๆ!!
มีคนนั่งตัวสั่นพิงผนังชานบ้านผมอยู่
เขาหันหลังให้กับตัวบ้านแล้วขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด
พร้อมกับส่งเสียงครางฮือๆ.. เบาๆ อยู่ในลำคอ

ผมเริ่มใจชื้นขึ้นมาทันที
แม้จะมองไม่เห็นว่าเขาคนนั้นเป็นใคร
เพราะเขาห่มผ้าขาวซะมิดชิด ปิดไปทั้งตัว คลุมไปถึงหัวเลยทีเดียว..
อากาศค่อนข้างเย็น ผมจึงคิดว่านอกชานอาจจะหนาวมากกระมัง ถึงห่มผ้าซะมิดชิดขนาดนั้น
รึไม่เช่นนั้น?
เขาก็อาจจะหนาวเพราะเป็นไข้

คิดได้แค่นั้น
ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงในบ้าน
แล้วหันหลังพิงฝาชนกับคนข้างนอกชาน
ลักษณะเหมือนนั่งหันหลังชนกันแต่มีฝาไม้กระดานกั้นเท่านั้นเอง

เสียงคนนอกชานกระแอมกระไอ แล้วบ่นมาให้ได้ยินเบาๆ ว่าหนาว
พรางขยับกระชับผ้าห่อเข้าหาตัวอีก
ผมคิดในใจว่า
“ถ้าหนาวนักที่นอกชานก็มีผ้าห่มอยู่อีกตั้งหลายผืนไม่ยักเอามาห่ม”
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
และผมก็ดีใจนะ
ที่ตอนนั้นมีคนนั่งเป็นเพื่อน
เมื่อคนในบ้านไม่มีใครอยู่เลยในตอนนั้น

ด้วยความโล่งใจที่มีเพื่อนนั่งอยู่ด้วย และแล้ว..
ผมก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้า
เสียงพูดคุยแว่วมาเบาๆ จากหน้าบ้าน
พวกผู้ใหญ่กลับมากันแล้ว ผมรีบเปิดประตูลงไปดูข้างล่าง...
ลืมคนที่นั่งด้วยนอกชานซะสนิท!!!

พวกที่มา นั่งบ้าง ยืนบ้าง ล้อมวงคุยกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ถุนบ้าน
ผมเห็นมีก็แต่พวกผู้ชาย ส่วนพวกผู้หญิงนั้นยังไม่เห็น
ตาบอกว่า
อยู่เป็นเพื่อนน้าสาวที่เป็นผดุงครรภ์ที่บ้านปู่
ส่วนตากับพวกผู้ชายกลับมาเอาศพไปไว้ที่บ้านคนตายก่อน...
...
.......

อ้าว...!!

เฮ้ย.. ตา!!!

อย่าล้อเล่นน่า...
ศพเรอะ !!??

ศพใคร ?

ศพไหนอ่ะ??

ผมไม่ยักกะเห็นมีศพใครที่ไหนเลย???

แล้วจะมาเอาศพอะไรกันที่บ้านผม!?

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย !!??

คำพูดตาทำเอาผมงงไปหมดแล้วตอนนี้...

ครับ..!!
ถึงตอนนี้ แม้ว่าผมจะยังออกอาการงงๆ อยู่เล็กน้อย
แต่..หลายๆ คนอาจจะเดาออกแล้วกระมังว่า...
อะไร?
เป็นอะไร!?

ถ้ายังไม่รู้..!
ไม่เป็นไร!!
มา..
ตามผมมา...
เดี๋ยว..! ผมจะเล่าให้ฟังเอง..


เรื่องมีอยู่ว่า...
หลังจากหนุ่มมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านหนีกลับจากบ้านน้ำเลามาถึงหมู่บ้านได้แล้วนั้น
และ เมื่อรู้ว่าเพื่อนถูกแทง
พวกเขาก็พากันพาคนเจ็บ ( ซึ่งที่จริงตอนนั้นน่าจะเป็นคนตายไปแล้ว..มั้ง? )
มาที่บ้านผม เพื่อให้น้าสาวผมช่วยดูอาการให้
และ..เมื่อรู้ว่าเพื่อนตายเสียแล้ว พวกเขาก็พากันห่อศพไว้ที่ชานหน้าบ้านผม
แล้วไปรวมตัวกันเพื่อหมายที่จะไปแก้แค้น
แต่ตาผมก็ไปเรียกปู่มาระงับเหตุได้ทันเสียก่อน

และแล้ว..
ทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่บ้านของปู่
ดังนั้นที่บ้านผมจึงไม่มีใครอยู่เลย
ทิ้งผมนอนอยู่บ้านคนเดียว! ( เออ..จำใว้ !! ทำกันได้นะคนเรา T0T )

และมันก็น่าสงสัยแปลกใจโขอยู่เหมือนกันว่า..
เขามีเรื่องมีราวกันขนาดนั้นแล้ว
แต่ไหงผมกลับนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ไม่รู้เรื่องรู้ราว !?
ทั้งๆ ที่ปกติ ผมออกจะหลับง่ายตื่นง่ายเสมอ
แต่ปัญหาข้อสงสัยของผมเรื่องนี้ยังไม่เท่าไร
เมื่อเทียบกับ..
ตอนที่ตาเดินขึ้นมาบนบ้าน แล้วบ่นอุบอิบอย่างหัวเสีย ออกมาว่า

“ แล้วใครมันเอาศพมาพิงพนังไว้ว่ะนี่ อุตสาห์จัดให้นอนแล้วห่ออย่างดีแล้วนะ? “

เอ่อ..!!??
จริงดิตา..!!

อ้าว...!?...เฮ้ย...!!?? งั้น..!! งั้น...!!!

ไอ้ที่นั่งพิงพนังอยู่กับผมทั้งคืนน่ะ...
ศพเรอะ!!??


ปัฐพี คเวสกรณ์

No comments:

Post a Comment