mybloglog

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา
อยู่ระหว่างหนีเที่ยว

Search This Blog

Pages

Tuesday, December 20, 2011

คนดีผีคุ้ม

" พวกมึงเชื่อเรื่องผีหรือเปล่าวะ ? "

คิ้วที่ขมวดแทบเป็นปมบนใบหน้าเข้มๆ นั้นยิ้มอย่างแหยเกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ปนมากับเสียงเพลงบรรเลงแผ่วมาเบาๆ และเสียงเจี้ยวจ้าวจากโต๊ะรอบข้าง สมเป็นร้านอาหารสุดฮิตของแถวนี้

ไอ้ณัฐ ไม่ใช่คนชอบพูดเล่น !!

หลัง ทอดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตายซาก มือขวาคีบแก้วเหล้าที่พึ่งถูกเทแจกจ่ายให้กับทุกคนขึ้นหมุนเบาๆ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้มันเมาอย่างแน่นอน! มือซ้ายแตะไปที่ซองปืนที่คาดเอว ซึ่งผมจำได้ว่าเป็น สมิธ & วัสสัน M 67 แมก นั่ม ลูกโม่ที่ผมเคยแนะนำให้มันใช้ เมื่อสมัยมันเข้าเป็นตำรวจใหม่ๆ ไม่ใช่ว่ามันตั้งใจขู่ใคร แต่เป็นนิสัยส่วนตัว ที่ติดตัวมันมา เวลามันเอาจริงเอาจังมันมักชอบทำท่าแบบนี้เสมอ คงเป็นนิสัยเฉพาะของตำรวจ ผมเดา..!

ซึ่งนั่นก็พอทำให้รู้ว่ามันตั้งใจพูดเรื่องนี้จริงๆ แต่.. เรื่องผีกับ ไอ้ณัฐ... นี่ มันค่อนข้างจะขัดกันพิกล!

ไอ้ ณัฐ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนในพวกเราที่ถนัดซ้าย และเป็นหนึ่งในพวกหัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่มีทางยอมเชื่อเรื่องผี เรื่องเจ้าเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร
คำถามนี้ของมัน ทำเอาพวกเราตะลึงไปพักหนึ่งได้เหมือนกัน

กี่ปีมาแล้วนะ ? ที่พวกเราไม่ได้มารวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันแบบนี้

วันนี้ผมในฐานะหัวหน้าห้องสมัย ม.ปลาย เรียกพวกเราที่อยู่ในกรุงเทพฯ มารวมตัวกัน หลังไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แบบนี้มานานแล้ว
ที่มารวมกันได้ครั้งนี้
ก็เพราะ ไอ้ณัฐมันติดต่อมาว่า จะเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ และอยากเจอพวกเราทุกคน ผมเลยจัดให้!!
แม้จะไม่ได้มาครบทุกคน แต่การรวมตัวกันได้ถึง 5 คน อย่างนี้มันก็ไม่ได้มีมานานแล้วจริงๆ น่ะแหละครับ

แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า มันจะเปิดประเด็นนี้มาเป็นประโยคแรก

แน่ นอน..ว่าพวกเราส่วนใหญ่เชื่อเรื่องผี แต่ก็เชื่อกันแบบครึ่งๆ น่ะครับ คือถ้ายังไม่เห็นกับตัวก็ยังไม่เชื่อหรอก แต่ก็ไม่ปฏิเสธนะว่าไม่มีจริงน่ะ
ยก เว้นไอ้อั้น ไอ้นี่เป็นคนเดียวที่เข้าวัดธรรมะ ธรรโม ไปตามเรื่อง มันชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาก รวมถึงการเข้าทรงลงเจ้าด้วย เข้าขั้นหลง ที่ไหนว่าเด่น ที่ไหนว่าดี ไปเข้าร่วมกับเค้าหมด
มันก็ดูเหมือนจะดีหรอก ครับ แต่ผมว่าขนาดมันนี่เข้าขั้นบ้าไปแล้ว มีเงินมีทองก็เอาไปให้สถานปฏิบัติธรรมต่างๆ ซะหมด ตัวผมเองก็ไม่อยากขวางคนทำบุญ และจะให้พูดให้ว่ามันมากไปก็ไม่ดีด้วย

แต่ ก่อนที่มันจะเอาไอ้ณัฐเข้ารีตไปด้วยอีกคน เพราะหลังจากประโยคเด็ดของไอ้ณัฐ พวกเราที่พึ่งหายตะลึง ก็พากันมองหน้ากันเลิกลัก แล้วหัวเราะอย่างงงๆ
ไอ้อั้นได้ทีรีบแซวขึ้นว่า

" อยากมาเป็นคนฝั่งนี้แล้วละสิ "
" เชื่อเรื่องผีก็ดี แต่เชื่อเรื่องพระดีกว่านะ "
" ผีที่ไหนกวนเหรอ เดี๋ยวแนะนำพระดีๆ ให้ "
"ไปปฏิบัติธรรมเดี๋ยวก็หาย "

ก่อนที่มันจะพากันไปไกลกว่านี้

" เฮ้ย..! จะไม่สั่งอาหารกันก่อนเหรอวะ เดี๋ยวรอนานนะมึง " ผมรีบตัดบท!

หลัง จากสั่งอาหาร และทักทายกันตามสมควรแล้ว ไอ้อั้นก็ยังไม่ละความพยายามเอาไอ้ณัฐเข้ารีตไห้ได้ พวกเราก็แซวกันใหญ่ว่าอย่าตามมันไปนะมึงไม่งั้นมึงเสร็จแน่ ว่าแล้วก็หัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน ไอ้ณัฐก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

" นี่กูถามจริงๆ นะ พวกมึงเชื่อเรื่องผีกันไม๊ ? "

ถ้าจะมีใครสักคนในนี้โกหก คนนั้นย่อมไม่ใช่ ไอ้ณัฐ..!
ไอ้ไม้บรรทัดณัฐ!!

ไอ้ ณัฐมันเป็นคนตรง ตรงที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ตรงเสียจนน่าหมั่นไส้ ผมกับมันตอนแรกไม่ค่อยถูกชะตากัน ก็เพราะความตรงของมันนี่แหละครับ ถ้าผิดมันก็ว่าเป็นผิดอย่างเดียว ถูกมันก็ว่าเป็นถูก ไม่เคยสนใจว่าเป็นเรื่องของใคร เรื่องของเพื่อน ของฝูงมันก็ไม่เคยเว้น ไม่เคยไว้หน้า ผิดกับผม ถ้าสำหรับผมเพื่อนเราต้องถูกไว้ก่อนนั่นละครับ ผมละ!

เคย ต่อยกับมันมาก็หลายหน เพราะความตรงของมันนี่ละ ทำเอาพวกผมเดือดร้อนกันมาหลายครั้ง มีเรื่องที่ต้องรวมหัวกันโกหกครูเมื่อไร มันไม่เคยเอาด้วยสักครั้ง เลยมีเรื่องกันบ่อย แต่ในที่สุด ก็รักในน้ำใจที่ตรงๆ ของมันจนได้ ดูเหมือนมันจะไม่เคยโกหกเลยด้วยซ้ำ

ตอน ที่มันสอบได้นายสิบตำรวจ พวกผมยังห่วงว่ามันจะโดนยิงตายเพราะความตรงเกินไปของมันนี่อยู่เลย ก็ตำรวจไทยนี่ครับไม่อยากนินทามากหรอกนะ แต่ถ้ายืดหยุ่นไม่เป็นนี่ผมว่าอยู่ยาก แต่กลับตรงกันข้ามกับที่พวกเราคาดเลยครับ ปรากฏว่ามันไปได้ดีกับอาชีพตำรวจเป็นอย่างดี

สงสัยคนกล้าท้าชนอย่างมัน คงจำเป็นสำหรับวงการตำรวจไทยในตอนนี้ซะละมั้ง !? ตอนนั้นผมคิดงั้นจริงๆ...

ตำรวจแทบทุกคนมีปืนพก และมักพกปืน แต่จะมีตำรวจสักกี่คนกันที่ได้ใช้ยิงจริงๆ โดยเฉพาะการได้ยิงต่อสู้กับคนร้าย

ผมว่าน้อยกว่าที่คุณคิดนะครับ !!

ไอ้ ณัฐ เป็นอีกคนที่เคยใช้ปืนยิงสู้กับคนร้าย และเป็นหนึ่งในตำรวจไม่กี่คนที่เคยยิงคนร้ายตายมาแล้ว แม้จะไม่มากรายนัก แต่ปืนของมันก็ใช้สังหาร และได้ดื่มเลือดคนมาแล้ว จำได้ว่าเป็นกระบอกเดียวกัน กับที่มันมาขอให้ผมแนะนำให้ตอนนั้น

ใช่ ว่าเพราะผมชำนาญเรื่องปืนผาหน้าไม้อะไรมากมายนัก อาศัยว่าเป็นคนที่เคยได้ลองใช้ปืนมาหลายประเภทกว่าคนอื่นๆ เพราะพ่อ และลุงผมเค้าชอบเล่นปืน และ ญาติๆ หลายๆ คนของผมก็มีปืนกัน ทำให้ผมมีโอกาสได้ลองใช้ปืนหลายๆประเภทอยู่

อันที่เลือกให้มันใช่ ว่าจะดีที่สุด แต่ก็ดีพอ และดีที่สุดเท่าที่มีในแคตตาล็อก ที่มันเอามาให้ดูในตอนนั้นแล้วละครับ และที่ผมไม่แนะนำปืนออโต้ ให้มัน แต่แนะนำลูกโม่แทนเพราะลูกโม่ดูแลง่ายกว่าสำหรับมือใหม่ และโดยส่วนตัวสำหรับผมคิดว่าปืนลูกโม่เอง ยิงได้แม่นกว่าปืนแมกกาซีนนะครับ ก็ไม่ได้คิดนี่ครับว่ามันจะเอาไปยิงแบบรณยุทธ์กับใคร จนหมดลูกโม่แบบในหนัง และเท่าที่ผมรู้มันก็ไม่เคยยิงต่อสู้จนหมดโม่สักทีเหมือนกัน

"น้อยอย่างไม่น่าเชื่อสินะครับ"

อย่างที่บอก นี่ไม่ใช่ในหนังครับ

แต่ตอนหลังที่มันใช้คล่องมือแล้ว ก็เปลี่ยนไปใช้ปืนออโต้ แบบแมกกาซีน เหมือนกันครับ เป็นซิกซาวร์เออร์ P228 บรรจุ 13 นัด !

ได้ ยินข่าวว่ามันไปอยู่พัทยาช่วงหนึ่ง ไปปราบอิทธิพลอยู่ที่นั่น จนได้เลื่อนยศเป็นร้อยตรี อย่างรวดเร็ว แต่ในที่สุดก็สู้ อิทธิพลไม่ไหวครับ

"ก็บอกแล้วนี่ นี่มันไม่ใช่ในหนัง"

หัวหน้ามันถอดใจแต่คนอย่างมันไม่ยอมหรอกครับ

ในที่สุดก็ถูกย้าย เรื่องรายละเอียดนั้นผมไม่ค่อยรู้มากนัก ไอ้นี่มันก็ไม่ใช่คนพูดมากซะด้วยสิครับ รู้แต่ว่า ย้ายใน 24 ซม.เลย!

ไปอยู่ที่พิษณุโลก...

สายฟ้าที่แปร๊บปราบของฤดูฝนตอนนั้น
คง ไม่เท่าสายฟ้าที่ฟาดในใจไอ้ณัฐ ตอนที่รู้ว่าถูกย้ายด่วน แม้ไม่ง่ายที่จะทำใจรับได้ว่าพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรม แต่ในเมื่อมันเป็นข้าราชการ เมื่อมีคำสั่งให้ทำ มันก็ต้องทำตามให้ได้

ไอ้ ณัฐ ขนของเท่าที่จำเป็นออกจากหอพัก ขับรถออกจากพัทยาในเช้าวันนั้นทันที ด้วยความโกรธและเจ็บแค้นที่สุมในอกในใจขณะนั้น เพื่อมุ่งไปยังที่ทำงานใหม่

ที่พิษณุโลก..

แม้ไม่มีที่พักที่รู้จักอยู่ที่นั้นตอนนั้นเลยก็ตาม..!

ตัดผ่านทางด่วน เข้าใช้ถนนพหลโยธิน ออกอยุธยาผ่านลพบุรี มีพักบ้างก็แค่เติมน้ำมัน กับเข้าห้องน้ำ

" กินอะไรไม่ลงเลยตอนนั้น " มันบอก

ขับรถฝ่าสายฝนไปไกลหลายร้อยกิโล ไม่สนว่าฝนจะตกหนักเพียงใด ถ้าไปต่อแบบนี้เรื่อยๆ คงถึงที่หมายก่อนเย็นได้พอดี..


สภ.ท่าข้าม

( ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนมันจะย้ายจากกองปราบไปอยู่ ที่โรงพักที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า สภ. ) ค่อนข้างห่างไกล และกันดาร พอดู ห่างจากหมู่บ้าน อื่นๆ หลายสิบกิโล

พอเข้าเขตพิษณุโลก ฝนยิ่งตกหนัก ทำให้ทัศนะวิสัยแย่มาก มองทางแทบไม่เห็น ทำให้การเดินทางจึงเป็นไปได้อย่างช้าๆ และยากลำบาก แต่..ความเย็นของสายฝนก็ช่วยให้ความร้อนในจิตใจของมัน ลดลงไปได้มากโขเหมือนกัน

" หลังจากที่กูขับรถถึงพิษณุโลก ก็ต้องตัดออกนอกเมืองไปอีกหลายกิโล "

ไอ้ณัฐเล่าในช่วงการสนทนา ระหว่างพวกเราทานอาหาร
น้ำ อำมฤตสีอำพันทำให้ลิ้นมันคล่องขึ้น ขณะที่หลายคนในกลุ่มสนใจฟังบ้าง ทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันไปพลางบ้าง ด้วยไม่ได้เจอกันนาน แต่ ไอ้ณัฐ ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว มันตั้งหน้าตั้งตาเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ตามสไตล์ของมัน
และนั่น..! ทำให้ผมต้องคิดหนัก..

ราวๆ 2 ทุ่ม..แล้ว! หลังจากมองเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านสุดท้ายที่ผ่านมา ก็ร่วมครึ่งชั่วโมง ยังไม่เห็นบ้านคนอีกเลย ฝนก็ตกหนักจนแทบมองทางไม่เห็น นึกโมโหฟ้าฝน อยากหยุดพักก็ไม่เห็นที่ไหนพอจะพักได้ จะกลับไปทางเดิม ก็ผ่านหมู่บ้านมาไกลโข

ความโกรธ โมโห ร้อนใจกลายเป็นความกังวล ว่า..ท่าจะไม่ถึงปลายทางเสียแล้ว..วันนี้ ดูท่าต้องพักรถกลางป่าเสียกระมัง

แต่แล้ว..! เหมือนพระมาโปรด
แสงไฟจากข้างทางที่เห็นอย่างกะทันหัน ทำให้มันค่อยๆ แตะเบรคลดความเร็วรถลงทันที

แสง จากตะเกียงที่เกือบมองไม่เห็นในตอนแรก คงเป็นเพราะฝนที่ตกหนัก ทำให้สังเกตได้ยากยิ่ง แต่เมื่อหยุดมองดูให้ดี ก็จะเห็นว่า เป็นแสงมาจากบ้านเรือนไทย ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังใหญ่โอ่โถงทีเดียว และยิ่งเมื่อสังเกตดีๆ แล้ว ก็พบว่า ยังมีบ้านอีก 2 หลัง ปลูกไว้ใกล้ๆ กันนั้น แต่มันกลับขับผ่านมาจนถึงหลังสุดท้าย โดยที่มองไม่เห็น บ้าน 2 หลังแรกเลย

" คงเพราะทัศนะวิสัยแย่ " มันคิด

แม้จะยังสับสน สงสัยอยู่บ้างว่า มันก็ว่ามันดูทางดีแล้วนะ ทำไมถึงมองไม่เห็นบ้าน 2 หลัง นั้นในตอนแรก

บ้าน ทั้ง 3 หลัง ใช้ตะเกียงกันทั้งหมด อาจเพราะไฟดับ และไม่น่าใช่ว่าไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะเสาไฟฟ้ายังมีให้เห็น อีกทั้งสายไฟที่ห้อยโยงระยาง ทอดยาวอยู่ตลอดข้างทางที่ผ่านมา แม้ไม่มีไฟส่องสว่างข้างทางอยู่เลยก็ตามที เพราะจะมีก็แต่ในเขตเมืองเท่านั้นที่จะมีไฟข้างทางใช้

พร้อมกับที่มันขับรถเข้าไปในเขตบ้าน หวังขออาศัยหลบฝนชั่วคราว คนในบ้านก็จุดตะเกียงถือร่ม ออกมาชะโงกดูในทันที

" ไปไหนกันละนั่น พ่อ " เสียงจากเจ้าของบ้านตะโกนทักขึ้นมาก่อน

พอจอดรถได้ ไอ้ณัฐ รีบเปิดประตูออกมาพร้อมกับตะโกนตอบทันทีเช่นกัน

" จะไป สภ.ท่าข้าม น่ะครับ " " ผมเป็นตำรวจพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่ "

แค่เปิดประตู ฝนก็กระหน่ำซะเปียกซก

" ย้ายมากลางค่ำกลางคืนนี่นะ พ่อ " เจ้าบ้านถามพร้อมกับหัวเราะ

น้ำ เสียงฟังดูใจดีใช่เล่นอยู่ ชายเจ้าของบ้านเท่าที่เห็น อายุน่าจะสัก 50 ปลายๆ ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนแขนสั้นสีขาว พาดผ้าขาวม้าสีเขียวลายตารางหมากรุกไว้บนไหล่ การแต่งตัวแลดูภูมิฐาน เหมาะกับตัวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

" ครับ ผมอยากขออาศัยจอดพักรถสักพัก ให้ฝนซาแล้วจะไปต่อน่ะครับ "

ไอ้ณัฐ รีบตอบ

พลางดึงประตูรถเข้ามาใกล้ตัวกันฝนที่สาดเข้าใส่อย่างจังๆ

" รีบขนาดนั้นเชียว ขึ้นมาพักก่อนดีกว่ามั้ง เปียกไปหมดแล้วนั่น " พูดพลางเดินเข้ามาเอาร่มบังฝนให้อย่างเป็นกันเอง

คน บ้านนอกน่ะมักจะใจดี ยินดีต้อนรับทุกผู้คนที่ผ่านมา และไม่ค่อยระมัดระวังตัวกันสักเท่าไรนัก ไว้ใจแม้อาคันตุกะแปลกหน้ายามราตรี นี่ละครับคนไทยของเรา มีน้ำใจ..

แต่ ! ด้วยความเกรงใจว่ามารบกวนในยามวิกาล ทำให้ ไอ้ณัฐ ออกอาการลังเล

" ไม่เป็นไรหรอก พักให้ฝนหยุดก่อนก็ได้ บ้านเรามันก็ไม่มีอะไรนัก พ่อขึ้นมาพักตามสบายได้เลย "

เจ้าบ้านยังคงชวนและจูงแขนขึ้นบ้าน

" ไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร อันตรายออกสะพานข้างหน้ามันก็พัง พ่อโชคดีนะนี่ที่ไม่ได้ไปต่อ "

ขนมันลุกซู่ขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง รู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่มองเห็นแสงไฟทัน ไม่งั้นคงได้ตกสะพานกันไปแล้ว..

แม้ ! ไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านในยามวิกาลนัก

แต่ ในที่สุด ไอ้ณัฐ ก็ตัดสินใจขึ้นบ้านด้วยประทับใจในน้ำใจไมตรี ของเจ้าของบ้าน

" ต๊าย..เปียกโชกมาเลย นังหนูเอ๊ย..เอาผ้ามาให้พี่เค้าหน่อยสิลูก "

เสียงผู้หญิงดังมาจากบนบ้าน เมื่อเห็นสภาพยามมันเดินขึ้นบันไดมา

" มืดหน่อยนะไฟฟ้ามันดับน่ะ " คนพ่อเป็นคนบอก

เสียง วิ่งอยู่ในบ้านประเดี๋ยวเดียว ร่างอันปราดเปรียวของสาวชาวบ้านที่ถูกเรียกว่า "ลูก" ก็โผล่ออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และผ้าขาวม้าอีกหนึ่งผืน

ไอ้ ณัฐ ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความเกรงใจ แต่ก็รับผ้าทั้งสองผืนเอาไว้ พร้อมกับโค้งตัวลงกล่าวขอบคุณ สาวชาวบ้านยิ้มน้อยๆ อย่างอายๆ พร้อมส่งผ้าให้ โดยไม่ได้กล่าวอะไร แล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

ไอ้ ณัฐ ขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดตำรวจครึ่งท่อนที่เปียกปอนไปทั้งตัว ในห้องน้ำบนบ้าน เป็นชุดลำลองที่หยิบติดมือขึ้นมาจากในรถ

พอออกจากห้องน้ำมาก็พบว่า

สาวน้อยสามคนยืนคอยมันอยู่ก่อนแล้ว!
และหนึ่งในสามคนนั้น ก็คือคนที่เอาผ้าเช็ดตัวมาให้มันนั่นเอง
เธอหลบอยู่ข้างหลังอีกคน ที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สาวอย่างอายๆ คู่กับอีกคนที่ตัวไล่ๆ กัน

" เอา - ไป - ตาก - ให้ "

คนนำหน้าตัวโตสูงกว่าเพื่อนเล็กน้อยพูดเน้นเสียงทีละคำชัดเจน
พร้อมทั้งแบมือยื่นออกไปรับชุดที่เปียกชุ่มของมัน

ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวคนโต

" เอ่อ...ไม่เป็นไร ผมตากเองก็ได้..มั้ง ? " ไอ้ณัฐ หันรีหันขวางหาที่ตากพร้อมตอบอย่างเกรงใจ

" แล้วรู้เหรอว่าตากตรงไหนน่ะ " เธอว่าพร้อมยิ้ม

เม้ม ริมฝีปากอิ่มรับกับใบหน้าแน่นขึ้น มือที่ยื่นมายังคงยกค้างอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มกวนๆ บนใบหน้าและแก้มที่ระเรื่อนั้น เงยขึ้นเอียงคอนิด เชิดปลายคางกลมมน ขึ้นมองมันอย่างไม่สะท้านอาย ต่างจากน้องสาวอีกสองคน ที่หลบข้างหลังหัวเราะคิกคักกันเบาๆ

สามสาวหน้าตาออกจะละม้ายคล้าย กัน ผิวอาจไม่ขาวนักเพราะต้องสู้อยู่กับเปลวแดดทุกวัน แต่ก็ไม่ถึงกับเข้ม ยิ่งเมื่อเทียบกับผิวกระดำกระด่าง ของไอ้ณัฐ

คนพี่สูงกว่าหน่อยๆ และผิวขาวกว่านิดๆ แต่อีกสองคนแทบแยกไม่ออก น่าจะเป็นแฝดเสียด้วยซ้ำ อายุไม่น่าเกิน 16 ส่วนคนพี่น่าจะสัก 18 ได้กระมัง

" มาพ่อ มากินข้าวกัน " เสียงเจ้าบ้านตะโกนแทรกเข้ามา

ไอ้ณัฐ สะดุ้ง ตื่นจากความคิด จำใจยื่นชุดเปียกๆ ของมันให้โดยดี พร้อมก้มหน้ากล่าวคำขอบคุณเบาๆ

เด็ก สาวรับผ้าแล้วพากันเดินเลี่ยงไปตากที่ชานบ้าน ซึ่งค่อนข้างกว้างนั้นเงียบๆ พึ่งได้เห็นชัดๆ ว่า คนพี่ แม้อกและไหล่จะกว้าง สะโพกผ่าย อวบอัด เอวกิ่ว เหมือนสาวชาวนาชาวสวน แต่รูปร่างค่อนข้างสูงโปร่ง ได้สัดส่วนกว่าเด็กสาวชาวบ้านทั่วๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด

ผ้าซิ่นสีแดงแถบดำ และเสื้อคอกระเซ้าสีเขียวอ่อน ที่หาให้เห็นไม่ได้จากในเมืองหลวง และพัทยา ทำให้คนสวม ดูน่ามองอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนสองคนน้อง ก็ค่อนข้างสูงแต่ตัวเล็ก แลดูบอบบางกว่า ไม่อวบอัดเต็มสาวอย่างคนพี่
คนที่เอาผ้าเช็ดตัวมาให้มันนุ่งกางเกงเล และเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพูเข้าชุด
ส่วนอีกคน นุ่งกางเกงขาสั้นสีครีม เข้าคู่กับเสื้อแขนสั้นแขนตัดสีเหลืองที่ดูทันสมัย

บ้าน อีก 2 หลัง ดับไฟลงแล้ว เท่าที่ทันสังเกต แต่ละหลังเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวใต้ถุนสูงเหมือนๆ กัน ปลูกในละแวกเดียวกันไม่ห่างกันนัก แต่หลังที่มันเข้ามาพัก หลังใหญ่โตกว่าอีก 2 หลังมากทีเดียว ราวกับเรือนใหญ่ กับเรือนบริวาร

ระเบียงชานรึก็กว้างขวาง แต่มีห้องหับอยู่แค่ 2 ห้อง คิดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับนอน
ยกสูงเล่นระดับขึ้นไปจากชาน อีกประมาณเลยเข่านิดเดียว เหลือพื้นที่เป็นลานโล่งนอกห้องนอน คล้ายห้องโถง แลกว้างขวาง
สำรับกับข้าวถูกเตรียมมาไว้ที่นั่นรอท่า พร้อมสรรพอยู่บนเสื่อ

กลิ่นจากแกงคั่วกบ และห่อหมกปลาสร้อย หอมฟุ้ง ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่จานพร้อมเสริฟ

ตัวของลุงป้าเจ้าของบ้านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

บรรยากาศทานข้าวใต้แสงตะเกียงแม้จะดูเหงาๆ แต่ก็ดูดีอย่างเหลือเชื่อในยามนี้

" อาหารบ้านนอก พ่อทานได้รึเปล่าไม่รู้.. " เสียงแม่บ้านเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

" ได้ครับ อะไรก็ทานได้หมดล่ะครับ น้า " ไอ้ณัฐ ตอบยิ้มๆ

" งั้น อิฐ ไม้ หิน ปูน ก็คงทานหมดสินะคะ " น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ ของเด็กสาวคนพี่ดังมาจากข้างหลัง

พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของอีกสองน้องสาวที่ตามเข้ามา
ผู้เป็นพ่อส่งสายตาปรามดุๆ พร้อมส่งเสียงกระแอ้มเตือนขึ้นในลำคอ

" พูดอะไร ไม่เข้าเรื่อง มา มากินข้าวกัน หิวจะแย่แล้ว "

เด็กสาวบุ้ยปากบุ้ยบาย แต่ก็ทำตามพ่ออย่างว่าง่าย แต่ยังมีรอยยิ้มที่ริมฝีปากอิ่มนั้น

อีกครั้งที่มีโอกาสได้มองตรงๆ ถึงเห็นได้ว่า

แม้ พวกเธอจะไม่ได้จัดว่าเป็นคนที่สวยมากๆ แต่ก็จัดว่ามีความน่ารักอยู่ในที รวมถึงคำพูดคำจาอย่างสนิทสนมนั้น ทำให้บรรยากาศรู้สึกเป็นกันเองยิ่ง

แม่บ้านยกจานข้าวมาให้ ไอ้ณัฐ ขอบคุณเบาๆ

หัว หน้าครอบครัว เริ่มรับประทานเป็นคนแรก แล้วเชิญชวนไอ้ณัฐ ให้ลงมือทานทันที ส่วนแม่บ้านและเด็กสาวยังคงรอดูท่าทีอยู่ คงรอให้มันทานก่อน

ชาวบ้านนอกมักให้เกียรติผู้ชายทานคำแรกก่อน แล้วพวกผู้หญิงถึงค่อยลงมือทานเสมอ..!

อาจเป็นเพราะอารามโกรธ วู่วามมาแต่เช้า จึงยังไม่ได้ทานอะไรให้ตกถึงท้องเลย ความหิว พึ่งแล่นเข้ามาเล่นงานก็ตอนนี้นี่เอง

มัน ยอมรับกับตัวเองว่า ข้าวในวันนั้นแม้จะไม่มีกับข้าว ก็อร่อยมากอยู่แล้ว แต่กับข้าวของแม่บ้านนั่นอร่อยจนมัน ต้องขอเพิ่ม แม้ออกจะเกรงใจ

จนกระทั่ง..หมดไปเกือบๆ สองจานพูนๆ
ถึงได้รู้สึกตัว ว่ามีคนคอยจ้องอยู่อย่างยิ้มๆ

ไอ้ณัฐเขินแทบตาย รีบเถไปชมฝีมือแม่ครัวว่า ไม่เคยทานห่อหมกปลาอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
แม่บ้านหัวเราะแล้วบอกว่าถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆ ยังมีอีกตั้งเยอะ พูดพร้อมทั้งยกหม้อให้ดูก็เห็นว่าทำไว้เยอะจริงๆ

คราวนี้เด็กสาวไม่ยักกะแซว เรื่องที่มันยัดข้าวเอ๊า ยัดข้าวเอา ได้แต่นั่งยิ้มทานไปเงียบๆ

พวก เธอนั่งพับเพียบทานข้าวอยู่เรียงกัน โดยคนพี่นั่งถัดจากมันไปทางขวามือ เรียงกันไปกับน้องๆ ส่วนลุงเจ้าของบ้านนั่งติดมันทางซ้ายมือ ต่อด้วยคนเป็นแม่ ล้อมวงกันอย่างนั้น

คนพี่นั่งตัวตั้งตรง แลดูสง่านัก
ไม่ว่าไอ้ณัฐ จะเพ่งพิศดูยังไงมันก็บอกกับตัวเองว่า ช่างดูไม่เหมือนสาวชาวบ้านทั่วๆ ไปเอาเสียเลย..

หนึ่ง ในน้องคนเล็กนั้น เท้าแขนอยู่กับพื้นขณะเอื้อมตักกับข้าวใส่จาน พร้อมพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันเองอยู่กับคนน้องอีกคน แล้วส่งเสียงหัวเราะกันเบาๆ เป็นระยะ ทำให้บรรยากาศในมื้ออาหารค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นกันเอง

ลุงป้าพ่อ บ้านแม่บ้านไม่ค่อยพูดมากนัก แต่ก็พอจะซักถามอยู่บ้างเหมือนกันว่า ไปไงมาไงถึงได้เดินทางเอาตอนมืดตอนค่ำ แถมฝนตกหนักแบบนี้ ไอ้ณัฐ เองก็เล่าอย่างไม่มีปิดบัง..!

ระหว่างบทสนทนาพร้อมกับที่ข้าวก็อิ่มท้องพอดี

" อืม.. อย่างนี้พ่อก็มาเป็นตำรวจบ้านเราแล้วสินะ ดีเหมือนกัน ต่อไปมีอะไรคงจะได้ฝากพ่อช่วยดูแลได้ "

"ครับถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็บอก ผมยินดีช่วยสุดความสามารถเลยครับ "

รอยยินดีเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าทุกคน

ทำให้ไอ้ณัฐ รู้สึกว่าต่อไปถ้ามีอะไรที่มันช่วยได้มันยินดีจะช่วยครอบครัวนี้อย่างเต็มที่ อย่างที่มันรับปาก

แม้ มันไม่บอก ผมก็พอรู้ว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไอ้ณัฐ มันช่วยทุกคนเต็มที่อยู่แล้ว ( แต่ถ้าทำผิดมา ผมเองก็รับประกันได้ว่าไอ้ณัฐ มันเอาผิดแน่ๆ เหมือนกัน ก็นิสัยมันอย่างนี้นี่ ไอ้นี่..! )

หลังอาหารมีน้ำขาวทำมือ มาช่วยย่อย รสชาติหวานอร่อย โดยเฉพาะเมื่อรินจากมือผู้หญิง!!
หลายแก้วจนมันชักไม่รู้แล้วว่าอะไรหวานกว่ากัน ระหว่างน้ำขาว กับสาวสวย.. แต่ก็ต้องเกรงใจพ่อแม่เค้าที่อุตสาห์มีน้ำใจ...

ที่ นอน หมอน มุ้ง ถูกนำมาจัดวาง กางเตรียมไว้ให้ ด้วยการช่วยกันของสามพี่น้องกับแม่ เยื้องจากตรงที่ตั้งสำรับขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย หลังเก็บสำรับกับข้าว และปัดกวาดเสร็จ บ้านแถวชนบทมักใช้ห้องโถงนี้เป็นลานสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่นั่งเล่น รับแขก ทานข้าว ทำงานพื้นบ้าน ไปยันใช้นอน ..!

ระหว่างนั้น !

ลุงเจ้าของบ้านก็งัดเอาบุหรี่มวนใบตองยกขึ้นมาจุดสูบ
( ไอ้ณัฐ ไม่สูบบุหรี่ แต่คิดในใจว่าคราวหน้าถ้าผ่านมาคงต้องหาบุหรี่นอกมาฝากแกสักหน่อย แกน่าจะชอบ..? )

เจ้าบ้านนั่งพ่นควันอย่างสบายอารมณ์ อยู่นอกชานมองออกไปเห็นฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่รู้จักหยุด

" ถ้าพ่อจะไปท่าข้าม.." แกเอ่ยขึ้นเบาๆ

ราวกับพูดอยู่กับตัวเอง

" ความจริงตรงไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง แต่นี่สะพานข้างหน้ามันพัง คงต้องอ้อมไปซะละมั้ง "

"ครับ ! เอ..แล้วนี่ผมไปยังไง ได้ครับนี่ ? "

พูดแล้วก็ขนลุก นี่ถ้ามันไม่หยุดซะที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน

"ก็..ย้อนกลับไปทางเดิม ถึงสามแยกก่อนถึงหน้าอำเภอที่ผ่านมาแล้วเลี้ยวซ้าย...."
( จากนั้นลุงแกก็ช่วยอธิบายเส้นทางอย่างละเอียด )

ไอ้ณัฐเองก็พยายามฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

" ต้องอ้อมไปไกลเลยละพ่อเอ๊ย " คนแม่พูดขึ้นบ้าง

ในขณะมือยังง่วนอยู่กับการจัดมุ้ง ไอ้ณัฐ หันกลับไปมอง แต่ตาดันไปสะดุดที่ลูกสาวคนโต แทนคนพูดซะนี่ เลยเจอสายตาค้อนตอบมาอย่างทันกัน
ไอ้ณัฐได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

" คงจะช่วยไม่ได้ละครับน้า ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี " ไอ้ณัฐก้มหน้าก้มตาลงตอบ

" อืม.. ก็คงลำบากหน่อยจนกว่าสะพานจะซ่อมเสร็จโน้นละ "

เจ้าของบ้านพูดพร้อมทั้งดีดก้นบุหรี่ออกไปนอกตัวเรือน

" ยังไงคืนนี้ก็นอนพักที่นี่เสียก่อนเถอะ "

พร้อมกับพยักหน้าไล่ให้ลูกสาวซึ่งจัดที่นอนให้มันเสร็จแล้วให้เข้านอน !

มองดูหน้าปัดนาฬิกาพรายน้ำ บอกเวลาพึ่ง 3 ทุ่มเศษ
นี่ถ้ายังอยู่ที่พัทยา กว่าจะหลับจะนอน ก็ ตีสองตีสาม แม้จะไม่ใช่วันเข้าเวรก็ตาม
แต่ที่นี่ การเข้านอนกันเร็วคงเป็นเรื่องปกติ

พ่อกับแม่นอนห้องนอนใหญ่ติดกับห้องโถง ที่ไอ้ณัฐใช้นอน ส่วนตัวลูกสาวนอนห้องเล็กถัดไปอีกห้อง

"ทันได้เห็นยิ้มสุดท้ายจากทั้งสามคน ก่อนเจ้าของรอยยิ้มจะหายเข้าไปยังห้องนอน.."

วันนี้คงฝันดีพิลึก
นึกในใจกับตัวเอง...

ความ เป็นตำรวจทำให้ไอ้ณัฐ นอนเร็วตื่นเร็วเป็นนิสัยอยู่แล้ว ยิ่งวันที่เพลียจากการเดินทางไกลอย่างนี้ แม้จะยังไม่ดึกนัก แต่มันก็หลับสนิทแทบทันทีที่หัวถึงหมอน

อันมีปืนซุกไว้ข้างใต้อย่างด้วยความเคยชิน !!

-------------------------


มือที่ตลบชายมุ้ง เข้ามาจะแตะที่ขา ต้องชะงักลงทันที..!!!

เมื่อถูกคนที่คิดว่ากำลังนอนหลับ ตวัดปืนจากใต้หมอนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว !!

เจ้าของมือหน้าซีดไปถนัดตา
ไม่ผิดกับตัวคนจ่อปืนเองในตอนนี้นัก
สัญชาตญาณแท้ๆ ทำให้มันทำแบบนั้น
แต่ เมื่อพบว่า เจ้าของมือที่กำลังเอื้อมมานั้นเป็นของลูกสาวคนโตของเจ้าของบ้าน ไอ้ณัฐก็หน้าเสีย หัวใจหล่นโครมลงไปอยู่ที่ปลายเท้าทันที

มีเป็นร้อยเป็นพันคำขอโทษ
แต่กลับไม่อาจออกเสียงเป็นคำพูดใดๆ ได้ซะนี่!
นอกจากชะงัก แล้วค่อยๆ ผายมือที่ถือปืนออก ถอนนิ้วออกจากไกปืน หันปลายขึ้นฟ้า

เหงื่อกาฬผุดร้อนขึ้นราวกับอยู่ในเตาอบ ทั้งๆ อากาศเย็นจนแทบจะหนาว จากไอฝนที่พึ่งหยุดหมาดๆ

ผู้บุกรุกเสียอีกที่ตั้งสติได้ดีกว่า
กระเซ้าขึ้นว่า

" ไม่ต้องกลัวไปหรอกจ้ะ แค่มาปลุกเท่านั้นเอง ไม่ทำอะไรหรอก "

พร้อมกับหัวเราะขำๆ

แต่ไอ้ณัฐ หน้าเสีย ขำไม่ออก แม้จะใจชื้นขึ้นเยอะ ที่เธอไม่ตกใจเอะอะโวยวาย

มันรีบลุกพรางขอโทษขอโพยไปพลางอย่างร้อนรน
แต่ดูท่าสาวเจ้าก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก

" พ่อให้มาปลุกแนะ "

พูดพร้อมกับถอยออกมาจากมุ้ง แล้วหลบหายเข้าไปในครัว

หลังเก็บที่นอนหมอนมุ้งเสร็จ
นายตำรวจหนุ่มของเราก็อดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่า
มีการหุงข้าวทำครัวกันแล้ว

อย่างที่บอกไอ้ณัฐ มันนอนเร็วตื่นง่าย แถมเรือนไม้แบบนี้ ใครเดินไปเดินมาทีก็มีเสียงลั่นเอี๊ยดอาดให้ได้ยินเสมอ
แต่มันกลับไม่รู้สึกตัวเลย ว่ามีการทำครัวกันจนเสร็จไปแล้ว

รอบๆ ตัวยังคงมืดอยู่มาก มองนาฬิกาพลายน้ำบอกเวลาตี 4 กว่าๆ

เก็บมุ้งเสร็จก็ออกมานอกชาน

เจอเจ้าของบ้านใส่ชุดม่อฮ่อม คาดผ้าขาวม้ารออยู่แล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกต เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในมุ้งเมื่อกี้นี้

" สวัสดีครับ " ไอ้ณัฐทักน้ำเสียงแหบพล่า

แต่คนฟังดูเหมือนจะไม่ได้เฉลียวใจอะไร

" โทษทีที่ปลุกแต่เช้านะ พ่อ แต่เดี๋ยวเราจะต้องออกไปกรีดยางกันแล้ว "

พลางชี้มือไปยังป่า อีกฝั่งของถนน ที่เห็นแค่เงารางๆ ไม่รู้ต้นอะไรเป็นต้นอะไร

" ต้องไปกันหมดน่ะ เลยจะบอกพ่อไว้ก่อน เดี๋ยวตื่นมาจะไม่เจอใคร "

" อ้อ.. ครับๆ งั้นเดี๋ยวผมขอออกไปพร้อมกันเลยแล้วกัน " ไอ้ณัฐรีบตอบ

" โทษทีนะเลยทำให้ต้องออกแต่เช้าเลย "

" โอ้ย.. ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากแล้วครับ ผมจะไม่ลืมเลย "

ไอ้ณัฐยกมือไหว้พร้อมขอบคุณเจ้าของบ้านจากใจจริง

เจ้าของบ้านก็รับไหว้แล้วหัวเราะตบแขนไอ้ณัฐเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

" เอาข้าวนี่ไปทานด้วยสิจ้ะ "

คุณแม่เดินออกจากครัวมาพร้อมลูกสาวคนโต และสำรับสำหรับไว้กินระหว่างทำงานชุดใหญ่
แบ่ง ใส่ใบตองกลัดด้วยเสี้ยนพร้าว ( กลัดทางมะพร้าว ) มาให้เพื่อนผมสำรับหนึ่ง เป็นเนื้อตากแห้ง กับข้าวสวย มันอดนึกชื่นชมภูมิปัญญาไทยไม่ได้ แม้ไม่สะดวกสบายเหมือนใช้ถุงพลาสติก แต่ก็ดีกับโลกและสิ่งแวดล้อม เพราะใบตองกับเสี้ยนพร้าวย่อยสลายได้ง่าย หนำซ้ำใบตองยังช่วยให้กลิ่นข้าวหอมชวนกินยิ่งขึ้น

คุณลูกสาวเดินตัดหลังแม่ลงเรือนไปอย่างเงียบๆ โดยมีน้องสาวสองคนรออยู่ข้างล่างก่อนแล้ว ใส่ชุดโพกผ้าโพกศีรษะพร้อมจะออกไปทำสวน

ร่ำลาเจ้าของบ้านชายหญิงเสร็จ

ไอ้ณัฐก็ออกรถ ไม่ทันได้ร่ำลาสามพี่น้องอย่างที่ตั้งใจ
แต่ไม่เป็นไร! วันหน้าต้องมาอีกอย่างแน่นอนไอ้ณัฐคิดในใจอย่างลิงโลด

ฝนหยุดแล้ว
แม้จะยังมืดแต่ด้วยแสงไฟจากรถกระบะของมัน ทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น

ด้วย ความสงสัยไอ้ณัฐ จึงขับต่อไปทางเดิมต่อไป แต่ไปได้อีกไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำจากประตูบ้าน มันก็พบกับสะพาน ที่จวนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ขนลุกเกรียวอีกครั้ง

นี่..ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เห็นว่าสะพานมันจวนจะพังอยู่ร่อมร่อแล้ว

ถ้าไม่มีใครเตือนแล้ววิ่งลุยฝนผ่านไป ไม่อยากคาดเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

นึกขอบคุณคุณพระคุณเจ้า ที่ดลใจให้มันพักที่บ้านนั้น ไม่งั้น...!!??

หนทางอ้อมค่อนข้างไกลอย่างที่ป้าแกบอก กว่าจะถึงสภ.ท่าข้าม ก็เกือบๆ 7 โมงเช้า

ท่ามกลางความประหลาดใจของสิบเวร และตำรวจเวรในโรงพัก เมื่อมีนายตำรวจใหม่ย้ายเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว

" มันยังหลับเวรกันอยู่เลยตอนนั้น "

ไอ้ณัฐ เล่าพร้อมทั้งหัวเราะขำๆ

หลังจากแจ้งให้ทราบว่าจะขอพบสารวัตรใหญ่ ไอ้ณัฐก็ขอนอนในรถอยู่ในโรงพักนั่น โดยบอกว่าถ้าสารวัตรมาให้ใครไปปลุกด้วย..

สายโด่! ก็ไม่มีใครมาตาม มันจึงไปรอในห้องสารวัตรใหญ่เสียเอง
และกว่ามันได้พบได้รายงานตัวเรียบร้อยก็ตกบ่าย และได้ที่พักเป็นบ้านพัก อยู่ในสถานีตำรวจนั่นเอง

เช้าอีกวัน..
หลังจากรับมอบงาน และเข้าดูที่ทำงานแล้ว
ระหว่างทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานใหม่ และตกลงกันว่าจะมีงานเลี้ยงต้อนรับกันตอนเย็น

หัวหน้าก็เข้ามาบอกว่า

วันนี้ให้พาลูกน้องไปช่วยชาวบ้านซ่อมสะพานหน่อย จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกัน ทั้งกับลูกน้องและชาวบ้านด้วย

พอได้ยินว่าซ่อมสะพาน
ไอ้ณัฐก็นึกถึงที่นั่นทันที
คงจะเป็นสะพานที่ว่านั้นแน่ๆ

หลังจากสอบถามจนแน่ใจแล้วว่าน่าจะใช่
ไอ้ณัฐก็แวะสหกรณ์ตำรวจซื้อของฝากติดไม้ติดมือจนเยอะแยะไปหมด โดยไม่ลืมติดบุหรี่ก้นกรองไปด้วย ใส่เอาไว้ตรงท้ายรถ
ทำเอาหลายคนงุนงงสงสัยไปตามๆ กัน ทั้งเรื่องของฝากทั้งเรื่องสะพานที่มันไล่ถามใครต่อใคร
ไอ้ ณัฐจึงเล่า เรื่องที่มันเจอมาเมื่อคืนก่อนให้หลายๆ คนที่อยู่ที่นั่นฟัง รวมถึงเรื่องที่มันเกือบตกสะพานนั้นมาแล้ว ก่อนจะได้มาทำงานที่นี่เสียอีก

หลายคนคลางอือๆ.. อย่างเข้าใจ และบอกว่ามันโชคดีมากที่ไม่เกิดอุบัติเหตุในวันนั้น
มันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!
แต่..!
จะมีก็ข้อคลางแคลงใจจากบางคนที่รู้จักพื้นที่ ที่พยายามบอกมันว่าแถวนั้นไม่น่ามีบ้านคนอยู่นา
มันก็หัวเราะไม่ว่าอะไร บางทีอาจเป็นคนละที่ คนละสะพาน หรือคนพูดอาจเข้าใจผิดเรื่องการมีบ้านอยู่แถวๆ นั้น เรื่องแบบนี้มีออกบ่อย
มันจึงได้แต่หัวเราะ
แต่ก็ยังมีเสียงซุบซิบนินทากันถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่ดี จนหลายคนซุบซิบว่ามันดูเพี้ยนๆ ซะด้วยซ้ำ

ราวๆ 10 โมงเช้า
จากโรงพักไม่ถึง 7 กิโล
ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่มันขับรถเข้ามาที่นี่ ก็ถึงสะพานที่ว่า

ตอน แรกก็ยังไม่แน่ใจนักสำหรับไอ้ณัฐ ว่าจะใช้สะพานเดียวกันหรือเปล่า เพราะตอนที่เห็นครั้งก่อนนั้นยังมืดอยู่ ทำให้ดูแตกต่างจากตอนกลางวันอย่างนี้

ชาวบ้านหลายสิบคนลงมือซ่อมสะพานกับอยู่ก่อนแล้ว

เสียง ทักทายระหว่างชาวบ้านกับตำรวจซึ่งน่าจะอยู่ในพื้นที่มานานพอสมควรแล้ว ที่มาด้วยกับมัน ตามมาด้วยการแนะนำตัวนายตำรวจใหม่กับชาวบ้านก็เริ่มขึ้น

ไอ้ณัฐยกมือไหว้ ทุกคนก็ยกมือไหว้ตอบพร้อมกับทำท่าทางเกรงอกเกรงใจนายตำรวจใหม่นัก

ชาวบ้านบ้านนอกมักเกรงกลัวเจ้าหน้าที่เสมอ แม้แต่เป็นแค่พลฯตำรวจก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงระดับนายร้อยอย่างมัน
มันก็เข้าใจดีและคิดว่าต่อไปต้องเข้าถึงชาวบ้านให้มากกว่านี้ ชาวบ้านจะได้เลิกกลัวตำรวจซะที

หลังจากเปลี่ยนชุดและเริ่มซ่อมสะพานกัน
ยิ่ง สังเกตก็ยิ่งเห็นว่าช่างเหมือนกับสะพานที่มันเจอมาเมื่อเช้าวานก่อนซะเหลือ เกิน ต่างกันก็เพียงแต่วันนั้นมันไม่ได้พังลงไปแล้วอย่างวันนี้เท่านั้น

แต่เมื่อมองไปอีกฝากของสะพานกลับไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียว ทั้งๆ ที่บ้านที่มันพักอยู่ใกล้กับสะพานขนาดนั้นแท้ๆ

ไอ้ณัฐได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

จนกระทั่ง!

พักกินข้าวเที่ยง

มันก็สอบถามชาวบ้านที่มาช่วยซ่อมสะพาน ได้ความว่า

มีแค่สองเส้นทางจากกรุงเทพฯ ที่มันจะมาที่โรงพักมันได้ เส้นทางแรกคือทางที่มันอ้อมมาเมื่อตอนกลางคืน และอีกเส้นทางคือผ่านสะพานนี้ไป

ความจริงข้อนี้ยิ่งทำให้มันเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่

หลังฟังจากปากคำของชาวบ้าน
มันก็ลุยน้ำข้ามฝั่งไปทันที

เมื่อ ขึ้นไปถึงถนนอีกฝั่ง หลังจากหันรีหันขวางได้สักพัก ยิ่งพิศ ยิ่งดู ก็ยิ่งจำได้ดีว่าใช่ที่นี่แน่แล้ว ที่มันมาหยุดรถมองสะพาน แต่กลับไม่มีวี่แววบ้านหลังใดๆ เลย ทั้งรอบสองข้างทางเป็นทุ่งโล่งๆ เต็มไปด้วยแฝกและหญ้าคาขึ้นอยู่ไม่สูงนัก!

10 เมตร
จาก สะพานที่มันเดินผ่านมา จุดที่มันจำได้ว่าเป็นตำแหน่งของบ้านที่มันอาศัยพักค้างแรมคืนนั้น กลายเป็นที่ราบโล่งขนาดราวๆ สองร้อยตารางวา มีต้นตะแบกใหญ่ต้นเดียวขึ้นอยู่บนที่ตรงนั้น
แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีอีก 2 ต้นเล็กแอบอยู่ข้างหลังบริเวณเดียวกัน

และแล้ว! ความงุนงงสงสัยทั้งหลายแหล่แทบมลายหายไปหมดสิ้น!

เหมือนโดนค้อนทุบที่ท้ายทอย..

คล้ายจะเป็นลมแดดเสียทั้งยืน..

ทรงตัวอยู่แทบไม่ได้

เมื่อเห็นสิ่งนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า!!

รอยรถที่เหยียบลงไปบนโคลนยามฝนตก ปรากฏชัดอยู่ในสายตา ลงจากถนนไปจอดอยู่ยังลานโล่ง ใต้ต้นตะแบกใหญ่นั้นพอดิบพอดี

รวม ถึงรอยล้อรถจางๆ บนพื้นถนน ที่ไม่ทันสังเกตในตอนแรก ที่รถคันนั้นวิ่งขึ้นมาจากตรงนั้น แล่นวิ่งไปบนถนนจนถึงสะพาน แล้วกลับรถที่นั้น

มันจำได้ดี!!

รอยล้อรถนั้นช่างเป็นเหมือนรอยล้อรถของมันไม่มีผิด..!!!

ของ เยี่ยมที่เตรียมมาในหลังรถ กลายเป็นของเซ่นไหว้แทนไปเสียแล้ว ชาวบ้านมองดูมันอย่างงงๆ ตำรวจหลายนายที่อยู่ในนั้น ค่อยๆ กระซิบกระซาบเล่าให้ชาวบ้านฟังถึงเรื่องที่มันเล่าในโรงพักก่อนมา ชาวบ้านหลายคนหัวเราะแล้วซุบซิบกันว่าออกจะเพี้ยนๆ นะนายตำรวจใหม่

แต่คนอย่างมันจะสนใจอะไร...

----------------------------------

หลายคนในกลุ่มเพื่อนคลางกันฮือ..!

โดยเฉพาะเมื่อคนเล่าเรื่องนี้เป็นไอ้ณัฐ

ส่วนใครจะเชื่อบ้าง ?
ไม่เชื่อบ้าง ?
ผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ ?
หลายทัศนะถูกนำมาถกกันในวันนั้น !!

ในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการกันว่า
คนอย่างไอ้ณัฐ มัน "คนดีผีคุ้ม" แม้ไอ้ณัฐมันไม่ยอมรับว่ามันเป็นคนดีสักเท่าไรก็ตาม
( คนเรามันก็ต้องมีดี มีเลวกันบ้างสักเรื่องสองเรื่องละเพื่อนเอ๋ย.. )

และแล้ว..! งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ขณะที่พวกเราเดินกลับไปที่รถของใครของมัน
ไอ้ณัฐซึ่งเดินคู่มากับผม มือข้างหนึ่งจับไหล่ผมไว้แน่น สังเกตว่ามือมันสั่นน้อยๆ กระซิบถามเสียงเครียด

" มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้วะ ไอ้ปัฐ "

ผมนิ่งคิดนิดหนึ่งตามนิสัย
ก่อนตอบมันอย่างระมัดระวังว่า

" ถ้าได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น กูคงไม่เชื่อ แต่..นี่เป็นเรื่องที่มึงเล่าเอง กูย่อมเชื่อ.. "

ไอ้ ณัฐ จับมือผมเขย่าอย่างดีใจสุดประมาณ เพราะมันรู้ดีว่าคนอย่างผมไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรใครง่ายๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ( แต่มันลืมไปอย่างว่าคนอย่างผมน่ะ โกหกเป็น..!? )

ผมเองก็บอกกับตัวเองว่า
แม้ นี่จะเป็นเรื่องจากปากไอ้ณัฐเอง ผมก็ควรจะพิจารณาให้ครบถ้วนถ่องแท้อีกที และโอกาสที่มันจะเข้าใจผิดก็มีอยู่บ้าง เช่น มันมีโอกาสที่รอยรถนั้นจะเป็นของคันอื่นที่บังเอิญใช้ยางอย่างเดียวกับมัน.. ก็ยังคงเป็นไปได้..!! แต่ผมไม่ได้บอกมันไปเช่นนั้น

และเมื่อมันรู้คำตอบว่าผมเชื่อ มันก็หันมามองผมด้วยสายตาจริงจังอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบีบมาที่ไหล่แล้วพูดว่า

" ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่กูอยากเล่าให้มึงฟัง มันยังมีเรื่องที่รบกวนจิตใจกูเหลือเกิน กูจะต้องเล่าให้มึงฟังไห้ได้สักวัน "

พร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ

มันหันกลับไปที่รถของมัน เราล่ำลากันอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะแยกย้ายไปที่รถของตัวเอง พร้อมๆ กับถอนหายใจเฮือกใหญ่

เอาละสิ !
ไอ้ณัฐกลายเป็นคนเชื่อเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง?
แล้วยังมีเรื่องอะไรหนักใจมันกว่าเรื่องนี้ ?
ผมชักสงสัย!!

การเพลิดเพลินกับข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และการงมงายกับข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมไม่ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้คุณฟัง เพราะมันเป็นเรื่องของไอ้ณัฐผู้ไม่เคยโกหกใคร
แต่เป็นเพราะ

เป็นเวลาอันยาวนานที่ผมได้มีโอกาสได้รวบรวมข้อมูลเฉพาะเรื่องในทำนองนี้มา และผมก็พบว่าเป็นเรื่องที่น่าสนเท่ห์อย่างมาก
เมื่อ พบว่ามีการพบเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ค่อนข้างมากมายและหลากหลายยิ่ง ทั้งในหลายๆ คน และหลายๆ เหตุการณ์ ซึ่งแม้จะต่างกรรม ต่างวาระกัน ซึ่งแม้แต่ตัวผมเอง ก็ยังเคยเจอกับตัวเองในเหตุการณ์แบบนี้ด้วย(วันหลังจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีก)

แต่..! เหตุการณ์กลับคล้ายคลึงและสอดคล้องกันอย่างน่าสนใจยิ่ง
ในช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้

ผมได้พบว่า

มีหลายคนได้พบว่าตัวเขาเองมีประสบการณ์ ได้มีโอกาสเข้าไปพักอาศัยในที่ต่างๆ แต่เมื่อกลับไปเยือนอีกที กลับพบว่าที่ต่างๆ เหล่านั้นกลับไม่เคยมีอยู่ที่นั้นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก โรงแรม วัด พบได้แม้กระทั่งเมื่อตอนกลางคืนยังเป็นที่พัก แต่เมื่อตื่นเช้ามาพบตัวเองนอนอยู่ในที่ร้างที่ไม่มีวี่แววของที่พักในคืน ก่อนนอนนั้นเลย..

เรื่องราวหลายหลากที่มีจำนวนข้อมูลเป็นอันมากเหล่านี้
ทำให้ผมต้องหยุดพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง...

เพราะถ้านี่เป็นเพียงเรื่องโกหก หรือคำลวง !?
ด้วยจำนวนข้อมูลที่มีเป็นจำนวนมากที่ถูกค้นพบ

นี่..!! จะต้องเป็นการรวมหัวกันโกหกครั้งใหญ่มากๆ อย่างแน่นอน

เพื่อ ปกป้องความเป็นส่วนตัว.. ชื่อ และสถานที่ ที่เกี่ยวข้อง ในทุกๆ เรื่องที่ผมได้นำมาเล่าสู่คุณฟัง ทั้งในเรื่องนี้ เรื่องก่อนหน้านี้ และเรื่องหลังจากนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จึงต้องเรียนมาเพื่อทราบ



ผมไม่สนใจว่าคุณเชื่อเรื่องนี้หรือไม่

เพียงอยากได้ข้อคิดเห็นจากคุณเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้บ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในความเชื่อของผม...

ส่วนความเชื่อของคุณ และอะไรที่คุณเชื่อ..!

คือสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจเอง!!





ปัฐพี คเวสกรณ์

No comments:

Post a Comment