“พี่... มารับหน่อยสิ!!!”
เสียงหลานชาย ดังมาตามสายโทรศัพท์
ผมพึ่งกลับมาจากการออกงานที่ต่างจังหวัดพอเข้าบ้านมาได้
ยังไม่ทันได้ทำอะไร แม้แต่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากสะบัดเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนาที่คลุมทับอยู่บนตัวให้หลุดออกไปได้
ก็ม้วนตัวตีลังกาก่อนจะสปินเกลียวอีก 2 รอบครึ่ง ลงสู่เตียงนอนอันอ่อนนุ่ม
เพียงกายสัมผัสแล้วเด้งขึ้นไปได้เพียง 2 ที
ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมารบกวนการนอนของผมซะงั้น //แง่งๆ....กรรซ์
ทันที ที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ยามนี้ ผมแทบจะเขวี้ยงมันทิ้งทันที ถ้าไม่ติดแต่ว่า...
กลัวจะเป็นธุระสำคัญอันอาจเกี่ยวข้องกับเงินทองที่สมควรต้องได้ ภายในเดือนนี้
ที่หวังเอาไว้ว่า จะได้มาช่วยซ่อมแซมบ้านเสียบ้าง
หลังจากที่น้องน้ำตามมาอาละวาด โมโหหึง เสียจนพังป่นปี้ยับเยิน
หลานชายที่พึ่งกลับจากหนีน้ำไปอยู่บ้านนอกที่ภาคเหนือ กลับมาจากเชียงใหม่ เมื่อหลายคืนก่อน..
โทรมาขอให้ออกไปรับเสียงเหมือนอึกอักอยู่ในลำคอ
“ได้ๆ แล้วจะให้ไปรับที่ไหนเมื่อไรล่ะ?” ผมถาม
ทั้งที่ยังติดใจสงสัย ว่ามันโทรมาให้ไปรับอะไรป่านนี้วะ?
แม้จะหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอน แต่..
หลานชายไม่ใช่คนที่จะโทรมากวนเล่นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ
เพราะผมเลี้ยงมากับมือทำให้รู้จักนิสัยหลานคนนี้เป็นอย่างดี
และจึงทำให้เขามีนิสัยคล้ายกันกับผมมาก
“บ้านผม... ตอนนี้เลยพี่!!!”
“อ้าว..! แล้วรถแกละ?” ผมถามอีก
“ แฟนผมเอาไป...” สังเกตน้ำเสียงคล้ายจะสั่นๆ
“ อ้าว..! แล้ว...!! รถแฟนแกละ??” ผมยิ่งถามก็ยิ่งสงสัย
ขณะที่หยิบแจ็คเก็ต ตัวที่พึ่งขว้างทิ้งบนโซฟาเมื่อกี้ขึ้นมาสวมทับ ชุดที่ใส่อยู่กันอากาศหนาวที่เพิ่งเข้ามาถึงในปีนี้
“พี่แฟนผมเอาไป...” (เสียงเริ่มเหมือนจะร้องไห้)
“แล้วรถพี่แฟนแกละ?” ผมล่ะอยากจะถามต่ออย่างนี้เหลือเกิ้น แต่ก็ยั้งปากไว้ได้
ไม่งั้นอาจมีการถามต่อกันไปจนถึงรถของพี่สาวของเพื่อนของเพื่อนของแฟนมัน!!! //(ว้อย.. หุดหิดสิ้นดี)
ผมเงยหน้ามองนาฬิกาอีกที ตี 4.25 นาที....
“ทะเลาะกับแฟนรึไงวะ..?” ผมอาศัยเดาเอาจากน้ำเสียง
ปกติไอ้คู่นี้ มักไม่ค่อยทะเลาะกัน แม้จะคบๆ เลิกๆ กันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
แต่หลานชายผมส่วนใหญ่จะยอมตามเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยเห็นมันทะเลาะกันมากนัก
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทะเลาะกันฝ่ายเดียวของผู้หญิงเสียมากกว่า
“เปล่าพี่.....” เออแน่ะ ถามคำตอบคำ มีอะไรก็ไม่พูด อึกอักอยู่ได้ ไม่ใช่นิสัยมันเลยนะนี่ ผมคิด..
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไรละเนี่ย ? ” ผมเริ่มประหลาดใจกับอาการของหลานชาย
ขณะที่อีกมือถือโทรศัพท์ อีกมือก็คว้ากุญแจรถ เตรียมออกจากบ้าน
“พี่มาตอนนี้เลยนะ....” แทนที่จะตอบ กลับเป็นคำอ้อนซะงั้น
“เออ.. ได้ๆ กำลังออกไปแล้ว มีไรก็ใจเย็นๆ ไว้นะ” ผมพูดพร้อมกับปิดประตูบ้านล็อกกุญแจ
ขณะที่ต้องอาศัยเอียงคอเพื่อหนีบประคองมือถือที่อยู่ข้างหู
หลังวางโทรศัพท์ไว้บนเบาะรถ ผมก็รีบขับออกจากบ้านทันทีด้วยความร้อนใจ
ด้วยไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับหลานชาย
ผมปาดรถไปมา บางครั้งก็ต้องลงไปลุยในน้ำที่ยังมีท่วมขังอยู่เป็นบางแห่ง
แข่งกับเวลา ให้เร็วที่สุดที่จะไปบ้านหลานชาย
แต่การจราจรช่วงนี้ยังค่อนข้างติดขัดแม้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก
แต่เพราะยังมีน้ำท่วมขังจากมหาอุทกภัยไทยแลนด์
ทำให้การเดินรถเป็นไปได้เพียงช่องทางเดียว
ซึ่งนั้นทำให้การจราจรเป็นไปได้โดยลำบากพอสมควรอยู่
น้ำกระเซ็นจากล้อรถผมที่บดลุยลงไปในแอ่งน้ำขังหน้าบ้าน
ก่อนหยุดกึกลง ตรงด้านหน้าของทาวน์เฮ้าส์สองชั้นที่ตั้งอยู่ในซอยลึกเกือบสุดซอย พอดี
หมู่บ้านเงียบดั่งสุสาน
บรรยากาศหมู่บ้านร้างนั้นไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด
หลังจากชาชินเสียแล้วกับการเข้าไปยังซากสถานหมู่บ้านที่ผู้คนพากันอพยพจนเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้าง
ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่พึ่งผ่านมา
กว่าจะถึงบ้านหลาน ซึ่งอาศัยเอาทาวน์เฮาส์ เป็นโรงงานรับสกรีนเสื้อผ้า ก็เกือบเช้า
เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็เพียงรำไร
“ทไวไลท์”
ช่วงเวลาเช่นนี้ก็เรียกแบบนั้นได้เช่นกัน
แม้บางคนจะเข้าใจไปว่า “สนธยา” เป็นเพียงช่วงก่อนค่ำเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว สนธยาคือช่วงเวลาโพล้เพล้ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งสองเวลา ไม่ว่าจะก่อนค่ำหรือก่อนสว่าง
“หวัดดีครับ” ผมทักคนที่นั่งม้านั่งหน้าบ้านหลานชายขึ้นก่อน
“หวัด... ดี.. ครับ” เขาหันมายิ้ม แล้วตอบรับช้าๆ เหมือนจะจำไม่ได้ว่าผมเป็นใคร
“แมน อยู่ไม๊ ครับ?” ผมถามต่อ
“อ้อ... อยู่ครับ พี่!” ดูเหมือนเขาจะนึกได้แล้วว่า ผมเป็นพี่ ของหลานชายผม (งงไม๊เนี่ย)
“อยู่ข้างบนครับ” วางมือจากแก้วเหล้าแล้วชี้ขึ้นไปที่ชั้นสอง
(อีกมือถือขวดไม่ยอมวาง =*=)
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม ตอบขอบคุณ แล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะจิ้มเบอร์ กดสายเรียก
“ตู๊ดดดดดด”
แต่.. เสียงโทรศัพท์ชิงดังขึ้นมาเสียก่อน
“เออ.... พี่มาถึงบ้านแล้วนะ เปิดประตูที” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายโทรศัพท์
“พี่.... คุย. กับ ใคร อ่ะ?” เสียงตะกุกตะกักสั่นตามสายมาเลย
ทำเอาผมคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็... คนข้างบ้าน” ผมเบาเสียงลง
เหลือบตาไปมองคนนั่งหน้าบ้านแวบหนึ่ง ราวกับกลัวเจ้าตัวได้ยิน พร้อมกับยิ้มให้
ลูกบิดประตูไม่ได้ล็อกเมื่อผมบิดแล้วผลักมันเข้าไป
“อยู่ไหน???” ผมถามขณะเดินหลบข้าวของระเกะระกะในห้องด้านล่าง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ ที่ใช้สำหรับสกรีนแผ่นผ้า
“ชั้นบน” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ
ได้ยินเสียงพวกลูกน้องในโรงงานมันดังอยู่ข้างหลังแทรกเข้ามาในสายด้วย
“.......พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร......?” เสียงหลานผมยังคงถามมาตามสายเสียงสั่น
ปัญหาเชาว์มั้งเนี่ย ผมคิดพร้อมขมวดคิ้ว แต่ก็หัวเราะไปด้วยเบาๆ
เมื่อรู้ว่าหลานชายยังปลอดภัยดี
แค่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง
“ก็คนข้างบ้านไง ที่เคยมากินเหล้ากับพวกเอ็ง ....ไม่ใช่เรอะ?” ผมปิดโทรศัพท์เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นบน
แล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นพวกมันทั้งลูกพี่ลูกน้องรวม 4 คน
ไปรวมหัวนั่งเบียดเสียดจุ้มปุกกันอยู่ที่มุมด้านในของห้อง หน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางตื่นตระหนก
ผมผาย 2 มือ ขึ้นข้างตัวระดับไหล่พร้อมเลิกคิ้ว เป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะก้าวขึ้นมาจากบันไดเข้าไปหา
“พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร?” เออแน่ะ ยังไม่เลิก ไอ้นี่..!!
ผมชักไม่ชอบใจ มันไม่ชอบมาพากลแล้วแบบนี้
“ก็.....” ผมค้างไว้แค่นั้น พร้อมกับมองตาพวกหลานชายเขม็ง
หมายจะค้นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในใจ
“คนพี่หรือคนน้อง?” หลานผมยังคงถามผมอีก
“คนน้องสิ” ผมตอบห้วนๆ ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่มียิ้มที่หน้าแล้วตอนนี้ มีแต่คำถามมากมายอยู่ในหัว
“พี่ไม่รู้เหรอ.....?” คนพูดหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะต่อว่า
“ว่าคนน้องน่ะ มันโดนพี่ชายฟันหัวตายไปตั้งหลายวันแล้ว!!!” คนพูดทำท่าจะร้องไห้ พร้อมกับพวกลูกน้องที่กำลังทำตัวเป็นขุนพลอยพยัก พยักหน้าถี่รัว ส่งสายตาน่าสงสารมายังผม
++++++++++++++++++
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ลงไว้ในหน้าหนึ่ง มุมล่างซ้ายมือ ว่า..
ฆ่าน้อง... จนท. มูลนิธินำศพ นาย ข(นามสมมติ) ขึ้นจากบ่ออึหลังบ้านเลขที่ 72/11 ซอย นวมินทร์ 88 แยก 3-13 หลังถูกนาย ก(นามสมมติ) ( รูปเล็ก ) พี่ชายแท้ๆ ทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วนำศพมาทิ้งอำพราง (ขออภัยที่ต้องสงวนชื่อจริง)
++++++++++++++++++
หลานชายผมเล่าให้ฟังว่า..
พอพวกตัวเองกลับมาจากต่างจังหวัด ก็เริ่มทำงานกันเพราะงานค้างเยอะมากช่วงน้ำท่วม
เลยไม่ทันได้สังเกตว่าข้างบ้านซึ่งพี่น้องจะทะเลาะกันเป็นประจำแทบทุกวัน ช่วงนี้ไม่มีเสียงทะเลาะกันอย่างเคยเลย ส่วนพวกลูกน้องในโรงงานบางคนก็เห็นบางคืนคนน้องเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน พร้อมทั้งถือไม้ถูพื้นขัดถูอะไรบางอย่างอยู่ทั้งคืน ซึ่งปกติไม่เห็นทำ อีกทั้งคนพี่และแฟนของคนน้องซึ่งปกติจะเจอเป็นประจำก็ไม่มีใครเห็น บางคืนก็ได้ยินเสียงลากอะไรบางอย่างอยู่บนบ้านซึ่งอยู่ติดกับทาวน์เฮาส์ของพวกหลานชายผมไปมาด้วย แต่ก็ไม่มีใครได้สนใจอะไรเพราะงานมันยุ่ง
จนกระทั่ง
เมื่อวานตอนเย็น ก่อนค่ำ
ป้าข้างบ้านก็เข้ามาเก็บของจะย้ายออก
พอเห็นเข้า หลานชายผมเข้าไปทักไปถามอย่างคนคุ้นเคยกันประมาณว่า
“จะขนของไปไหนเหรอป้า” อะไรประมาณนั้น
พอป้าแกเห็นหลานชายผมก็ทำหน้าตาตื่น ดึงแขนเสื้อเข้าไป แล้วกระซิบเล่าให้ฟังว่า
“โอ้ย.. อยู่ไม่ได้แล้วพ่อแมน มันมาแทบทุกคืน”
“มันมา...? อะไรมาป้า??”
“ก็ผี ไอ้ ข น่ะสิ มาปรากฏตัวทุกคืน จนคนแถวนี้เค้าอยู่กันไม่ได้แล้ว”
“..........” หลานผมถึงกับงง อ้าปากค้าง เพราะมันแน่ใจว่ามันยังเจอๆ อยู่ แล้วไปตายตอนไหนกันวะนี่?
ในตอนแรกหลานชายผมก็ไม่เชื่อ
เมื่อป้าแกเล่าให้ฟังว่า
เมื่อ 23.30 น.วันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันออกมาจากบ้านของ นาย ก และนาย ข พร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า “ อย่าฟัน ๆ ” หลายครั้ง ก่อนจะเงียบหายไป จึงได้แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ จนกระทั่งพบศพ ตำรวจคาดว่า คนร้ายที่ฆ่านาย ข น่าจะเป็น นาย ก อายุ 32 ปี พี่ชายแท้ๆ ของผู้ตายที่พักอยู่ด้วยกัน มีอาชีพเป็น รปภ.หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากบ้านหลังเกิดเหตุ สองพี่น้องมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกครามต้องมาระงับเหตุเสมอ
ต่อมา เมื่อเวลา 04.30 น. วันเดียวกัน พ.ต.ต.จุมพล พร้อมกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.โคกคราม สามารถจับกุมตัวนาย ก ได้ที่ถนนรัชดาภิเษก-รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม สอบสวน นาย ก ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้สังหารน้องชายแล้วนำศพไปทิ้งในบ่ออุจจาระหลังบ้านเพื่ออำพรางคดี สาเหตุมาจาก น้องชายชอบทำร้ายตนเองเป็นประจำ โดยก่อนเกิดเหตุผู้ตายต้องการให้ตนกินเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปทำงาน แต่ตนต้องไปทำงาน น้องชายจึงไม่พอใจตรงเข้าทำร้ายร่างกาย จึงเกิดบันดาลโทสะ คว้ามีดฟันน้องชายจนเสียชีวิต ก่อนจะลากศพไปทิ้งในบ่ออุจจาระ แล้วหลบหนี แต่ไม่รู้จะไปไหนเลยไปเดินเตร่ที่ถนนรัชดาภิเษก-รามอินทรา จนถูกตำรวจจับกุมตัวได้ และถูกควมคุมตัวเป็นผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีต่อไป
ป้าแกบอกว่า ตอนที่ป้าแกเห็น
นาย ก ก็ลากศพ น้องชาย ไปมาอยู่บนบ้าน
คงจะหาที่ทิ้งศพ
ดังนั้นตอนที่มูลนิธิไปพบศพ รอยเลือดจึงเปรอะไปทั่วบ้าน
ก่อนจะไปหยุดที่บ่อปฏิกูล จึงทำให้ตำรวจหาศพได้ไม่ยาก
พอทิ้งศพลงบ่อปฏิกูล ตัวพี่ชายก็หนีออกจากบ้านไป
แต่ไม่รู้จะไปไหนเลยเดินไปเดินมาแถวๆ ที่ทำงาน
จนถูกจับ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพี่ชายจึงไม่หนีไปให้ไกล ไหนๆ ก็จะหนีแล้ว
ความจริงของคดีนี้ที่ไม่ได้เขียนในหน้าหนังสือพิมพ์แต่พวกผมรู้ก็คือ
คนพี่นั้นสติไม่ค่อยดีเท่าไร
ออกจะขาดๆ อยู่บ้าง
ดังนั้นน้องชายจึงมักจะคอยตำหนิผู้พี่อยู่เสมอ
จนทะเลาะกันเป็นประจำ
รวมถึงเรื่องที่น้องชายชอบทะเลาะกับแฟนสาว
จนผู้เป็นพี่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นประจำอีก
เมื่อพี่ชายพยายามไปขอให้น้องชายกับแฟนไม่ให้ทะเลาะกัน
เพราะเขาจะนอนไม่พอแล้วจะไปทำงานเป็น รปภ. ได้ไม่เต็มที่
น้องชายก็จะพาลทะเลาะเอากับพี่ชายด้วย
ทำให้ผู้เป็นพี่คงรู้สึกเก็บกดไม่น้อย
จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาเช่นนี้
ทั้งๆ ปกติต่อหน้าพวกเรา เขาก็ค่อนข้างยิ้มแย้มดีเสมอ
แต่ไม่ค่อยได้มากินเหล้าร่วมกับพวกในโรงงานหลานชายผมเช่นคนน้องเท่านั้น
ส่วนคนน้องนั้นมาบ่อย
เพราะที่หน้าทาวน์เฮาส์ของหลานชาย
พวกลูกน้องในโรงงานจะเอาโต๊ะมาตั้ง
แล้วกินเหล้าอยู่เป็นประจำ
ซึ่งก็คือจุดที่ผมเจอคนน้องเมื่อกี้นั้นเอง
พวกหลานชายก็เคยเตือนๆ ว่า
อย่าไปว่าพี่ให้มากเพราะสงสาร
แต่คนน้องก็ไม่ฟัง
เมื่อเค้าไม่ฟังก็ไม่มีใครอยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นอีกมากนัก
จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
จนกระทั่ง
มาเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเช่นนี้
เมื่อโบกมือให้กับป้าข้างบ้าน ซึ่งขนของขึ้นรถหนีไปแล้วนั้น
หลานชายผมก็ได้แต่ส่ายหัว ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
แต่ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นให้ถามอีก
เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะลองไปสืบดู
แต่ตอนนั้นทั้งลูกพี่คือหลานชายผมและลูกน้องมันก็เจอกับคนน้องแล้วทุกคน
บางคนก็เจอที่หน้าบ้าน บางคนเห็นทำความสะอาดพื้นบ้านอยู่ในบ้าน บางคนเห็นเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น
แต่ไม่มีใครได้พูดได้คุยกับคนน้องที่เจอกันเลยสักคน
ส่วนคนพี่ที่ถูกจับไปหลายวันก่อนแล้วนั้นก็ไม่มีใครได้เจอ
กลางดึกคืนนั้น
ขณะที่กำลังเร่งงานกันอยู่จนล่วงเข้าเช้าของอีกวัน
ไอ้เอิ๊ก หนึ่งในลูกน้องของหลานผม ก็กระโจนข้าม โต๊ะวางแบบงาน
เข้ามาในโรงงานพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ
“อะไรกันวะ วิ่งพรวดพราดเข้ามาได้ไง” เสียงต่อว่าจากเพื่อนๆ ดังกันขรม
หลานผมเองก็ลุกขึ้นจากงานขึ้นมามองมันอย่างงงๆ
“พี่แมนๆๆๆ...” ไอ้เอิ๊กเรียกเสียงสั่นรัว
“อะไรกันวะ?” หลานผมสะบัดมือเปื้อนสีให้แห้งแล้วถาม
“นี่ๆๆๆๆๆๆๆ” แทนที่จะตอบ มันกลับส่งหนังสือพิมพ์ให้แทนพร้อมกับชี้ไปที่รูปๆ หนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์
มองหน้าคนพูดอย่างงุนงง ก่อนจะก้มลงอ่านข่าวที่ทำให้ลูกน้องตกใจถึงกับรีบเอามาให้ดูขนาดนี้
“เฮ้ย.....!!!” ลูกพี่ประจำโรงงานครางเบาๆ อย่างตกตะลึง เมื่อเห็นข้อความข่าว อย่างแทบไม่เชื่อสายตา
เรียกให้พวกลูกน้อง พากันเข้ามามุงดูอย่างสงสัย
ใช่ครับ !!
มันคือ “ข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 26 พ.ย. 2554”
ซึ่งมีข่าวของพี่น้องคู่นี้ปรากฏอยู่บนหน้าแรกสุด
“เฮ้ยๆๆๆๆๆๆ!!!!” เสียงอุทานกันอย่างทั่วถ้วนเมื่อเห็นข่าวที่แย่งกันอ่าน
ทันใดนั้น!!!
“ครืด ครืด.. ครืด” เสียงลากอะไรบางอย่างหนักๆ ครูดไปกับพื้น ก็ดังมาจากบ้านข้างๆ ที่อยู่ติดกัน
ชาวโรงงานหันมองหน้ากันก่อนจะมองไปที่หน้าต่าง แล้ว เห็น.....
“คนน้องที่น่าจะตายไปแล้วตามข่าว กำลังลากถังน้ำ เข้าไปขัดล้างพื้นซึ่งเคยเต็มไปด้วยเลือด”
“พอรู้ตัวว่ามีคนมอง”
“ชายคนนั้นก็หันหน้ามองกลับมาบ้าง มองเห็นหน้าข้างซ้ายซึ่งเต็มไปด้วยรอยของมีคมฟันจนยับไปทั้งซีกอย่างถนัดถนี่ มองตรงมายังกลุ่มคนดู แล้วแสยะยิ้มเลือดทะลักออกจากทั้งปาก จมูก และรอยแผล”
---
------
-----------
“แล้วงานคืนนี้ละพี่?” ใครบางคนในกลุ่มถามขึ้น
“ไม่ต้องแล้วว่ะ ....ค่อยๆ ออกจากบ้านนะ อย่าให้มันรู้ตัว!!” พูดจบคนพูดก็พุ่งไปที่ประตูทันที
ไอ้แมนเป็นคนแรกที่ออกประตูไปได้แต่แล้วก็ถอยกลับเข้ามาแล้วปิดประตูเอาไว้อย่างเดิม
ลูกน้องมันตามมาติดๆ พรวดออกจากประตูไป แม้จะงงๆ ว่าลูกพี่มันจะย้อนกลับเข้าไปทำไม
แต่แล้วก็หันกลับมาดันเอาพวกที่พยายามออกประตูไปให้กลับเข้าบ้าน...
ดันกันอยู่อย่างนั้น!?
แต่แรงคนเดียวรึจะสู้หลายคน
พอคนที่เหลือพ้นประตูได้เท่านั้นก็หันพรวดพราดกลับเข้ามาข้างในตามเดิม
แล้วปิดประตูเสียงดังปัง...
ทิ้งให้คนแรกที่ออกไปได้ก่อนแต่กลับเข้ามาไม่ทัน ตาลีตาเหลือกอยู่ข้างนอก
ทุบประตูโครมๆ พร้อมทั้งกระชากถีบยันกำแพงเพื่อดึงประตูหน้าบ้านสุดแรงเกิด
.......ก่อนจะคิดได้แล้วเปลี่ยนเป็นผลักเข้ามาแทน !!!
คนสุดท้ายที่เข้ามาล้มกลิ้งไปกับพื้นใน
ขณะคนที่เหลือตาลีตาเหลือกลนลานชนข้าวของวิ่งขึ้นบันไดไป
โดยมีไอ้แมนนำอยู่ข้างหน้า...
---
-----
--------
“ตู๊ดดดดดด”
เสียงโทรศัพท์ในมือผมดังขึ้น
“เออ.... พี่มาถึงบ้านแล้วนะ เปิดประตูที” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายโทรศัพท์
“พี่.... คุย. กับ ใคร อ่ะ?” เสียงตะกุกตะกักสั่นตามสายมาเลย
ทำเอาผมคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็... คนข้างบ้าน” ผมเบาเสียงลง
เหลือบตาไปมองคนนั่งหน้าบ้านแวบหนึ่ง ราวกับกลัวเจ้าตัวได้ยิน พร้อมกับยิ้มให้
ลูกบิดประตูไม่ได้ล็อกเมื่อผมบิดแล้วผลักมันเข้าไป
“อยู่ไหน???” ผมถามขณะเดินหลบข้าวของระเกะระกะในห้องด้านล่าง ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ ที่ใช้สำหรับสกรีนแผ่นผ้า
“ชั้นบน” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ
ได้ยินเสียงพวกลูกน้องในโรงงานมันดังอยู่ข้างหลังแทรกเข้ามาในสายด้วย
“พี่รู้มั้ยว่าคุยกับใคร?” หลานชายถามเมื่อผมเดินขึ้นบันไดมา
“ก็.....คนข้างบ้านแก ที่เคยมากินเหล้าด้วยกันไง” ผมตอบ
“คนพี่หรือคนน้อง?” หลานผมยังคงถามผมอีก
“คนน้องสิ” ผมตอบห้วนๆ
“พี่ไม่รู้เหรอ.....?” คนพูดหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะต่อว่า
“ว่าคนน้องน่ะ มันโดนพี่ชายฟันหัวตายไปตั้งหลายวันแล้ว!!!” คนพูดทำท่าจะร้องไห้ พร้อมกับพวกลูกน้องที่กำลังทำตัวกลายเป็นขุนพลอยพยัก พยักหน้าส่งสายตาน่าสงสารมายังผม
นานพอดูที่ผมต้องจ้องมองพวกมันอย่างคาดคั้นจะเอาความจริง
ร่างที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ทำให้ผมไม่คิดจะคาดคั้นต่อ
“แล้วมานั่งทำอะไรที่นี่ละ กลัวก็ไม่ออกไปอยู่ข้างนอก” ผมถาม
“ก็... มัน นั่งอยู่ ตรงนั้นน่ะ... ” คนพูดทำปากบุ้ยบ้ายไปที่หน้าบ้านแทนคำตอบ
( ปรากฏว่าพอพวกหลานชายผมจะออกจากบ้านพวกก็หายไปจากบ้านมานั่งดักรอที่โต๊ะกินเหล้าแล้ว ไอ้พวกนั้นเลยถอยกลับเข้ามาอยู่กันในบ้านไม่กล้าออกไปไหนกัน )
คนเรานะครับบทจะซวยมันก็ชวยได้ซวยดี..
บ้านผมพึ่งโดนน้ำท่วมข้าวของเสียหาย จัดล้างยังไม่ทันเสร็จ
รถก็โดนความชื้นต้องเข้าศูนย์ซ่อม นี่ก็ยังไม่ค่อยจะดีอยู่เลย ว่าจะเอาไปซ่อมอีกที
เมื่อวานนี้โทรศัพท์มือถือก็ดันหาย อันที่ใช้นี่ก็พึ่งซื้อมาใหม่เมื่อวานเย็น
นี่จะมาโดนผีหลอกอีกแล้ว ที่เค้าว่าผีมักจะมาให้คนดวงตกเห็นนี่ท่าจะจริง...
ผมเดินไปที่นอกระเบียง เพื่อก้มดูคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน...
“กันสาดดดดบัง มองไม่เห็น บัดซบเอ้ย...” ผมสบถในใจ
ในขณะที่พวกในห้องชะโงกมองตามจนคอยาว
“ไม่ต้องชะโงกคอตาม ออกมาดูด้วยกันก็ได้” ผมเย้าแหย่ เห็นเป็นเรื่องสนุก
แต่พวกมันไม่สนุกด้วยส่ายหัวดิก ขึ้นพร้อมกัน
“อยู่ไม๊พี่ ?” ไอ้แมนถาม
“ไม่รู้สิกันสาดมันบัง” ผมตอบเรียบๆ
แต่คำตอบนี้ เล่นเอาพวกที่ลุ้นอยู่ในห้องทำหน้าทำมือหงิกงอราวกับจะขาดใจตายเสียให้ได้
“กล้องอยู่ไหนวะ?” ผมถามถึงกล้องถ่ายรูปของหลานชายซึ่งผมยกให้ไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนผมเริ่มป่วย
“ในเป้... พี่” .....
“เอามาให้ทีสิ”
“พี่จะเอาไปทำไม?” มันถามพร้อมกับส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เอาอ่ะ ผมไม่ไปจากตรงนี้เด็ดขาด
ผมเเสยะยิ้ม หันไปมองคนถาม พร้อมทำหน้าประมาณว่า
ของมันก็แน่อยู่แล้ว จะถามไปทำไมวะ พร้อมกับพูดว่า
“จะเอาไปถ่ายผีน่ะสิวะ โอกาสดีๆ ยังงี้หายากจะตาย อยู่ไหนละ กล้องน่ะ?” ผมถามต่อ
“อึอื้อออออ....” ทั้งลูกพี่ลูกน้อง ส่ายหัว ส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ถึงไม่เป็นภาษาก็รู้น่ะว่าแปลว่า “ไม่เอาด้วย”
ผมส่ายหัวรำคาญ พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ใกล้จะสางเต็มแก่แล้ว อีกไม่นานคงสว่าง
มัวแต่รอกล้องจากหลานชายคงไม่ทัน
คิดได้ดังนั้น ผมจึงหยิบมือถือใหม่ขึ้นมา เปิดไปที่เมนูกล้องถ่ายรูป
“พี่จะทำอะไรน่ะ???” พวกไอ้แมนร้องเสียงหลง
ผมหันไปมองหน้ามันแล้วส่ายหัวอีกรอบ ไม่ตอบ.. แต่ เดินลงบันไดไปทันที
“ไม่กลัวรึ ผี เชียวนา?”
คงมีหลายคนสนใจสงสัย ว่าทำไมผมถึงกล้าได้ขนาดนั้น
อะพิโถ.. ใกล้สว่างขนาดนี้ แถมคนเป็นกระตัก กลัวอะไรกันเล่าครับอย่างนี้
โอกาสเจอผีตอนใกล้สว่างอย่างนี้มีน้อยจะตาย ยังไงๆ ถ้าเป็นตอนกลางคืนผมก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว
ดังนั้นโอกาสถ่ายรูปได้ จึงมีแค่ตอนนี้เท่านั้น และถ้าถ่ายรูปผีได้ละก็ ทีนี้
ผมจะได้ยืนยันได้ซะทีว่า “ผีน่ะ มีจริง” (หึหึหึ)
พวกหลานชายจับชายเสื้อเดินต่อๆ กันลงบันไดตามมา
ขณะที่ผมยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
พวกมันค่อยๆ ย่องๆ แย่งๆ มาแง้มประตูออกดู
“กร๊อบ..”
ผมแกล้ง เหยียบกระป๋องน้ำอัดลมซึ่งตกอยู่บนพื้น เสียงดังก้อง
เท่านั้น..
พวกที่อยู่ที่ประตูถึงกับเข่าอ่อนแทบทรุด บ้างก็ถึงกับจะหันหลังวิ่งกันลนลาน
จนผมต้องจับเสื้อเอาไว้กันทุกคน
“โธ่.... พี่.. ฮือๆ” เจ้าของเสียงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ อุทธรณ์เสียงอ่อย
“ไปแล้ว.. ไม่อยู่แล้ว!!” ผมกระซิบเบาๆ แต่ให้พอได้ยินกันทุกคน
“จริงเหรอพี่ ไปแล้วจริงๆ นะ???” ดูเหมือนพวกมันจะไม่ไว้ใจผมเสียแล้วตอนนี้
“เออ... ไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเลย” ผมย้ำ
ไอ้แมนโผล่ออกไปดูคนแรก แล้วพวกที่เหลือก็ชะโงกหน้าตามกันสลอน
พอเห็นว่าไม่มีใครดักรออยู่ที่ ที่นั่งหน้าบ้าน
พวกมันทั้งหมด ก็พรวดพราดวิ่งตัดหลังผมไปแย่งกันขึ้นรถทันที
“ออกรถเลยพี่แมน” เสียงไอ้เอิ๊กชัดๆ นี่มันกะจะทิ้งผมเลยนะนี่.... (เดี๋ยวต้องเคลียร์กันให้หนัก ไอ้เอิ๊ก!!)
“ล็อกบ้านก่อนสิวะ” ผมตะโกนบอก
“ช่างมันเถอะพี่ ไปกันดีกว่า” ไอ้แมนตะโกนตอบโต้มา
น่าน! ดูมัน คนเยอะขนาดนี้แถมยังจะเช้าอยู่แล้วยังปอดไม่เลิก
“เอากุญแจมาพี่ล็อกเอง” ผมเดินไปที่รถแล้วแบมือขอกุญแจ ที่ไอ้แมนล้วงให้อย่างยากลำบากเพราะมือมันสั่น...
ผมเดินไปล็อกบ้านแล้วตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที ท่ามกลางสายตาเว้าวอนว่า
“ได้โปรดเถอะพี่.... กลับมาออกรถซะทีเท้อะ ”
หลังตรวจสอบความเรียบร้อยต่างๆ แล้ว ขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปเพื่อขึ้นรถ
ก็หันหลังกลับไปมองรอบๆ อีกหน ด้วยหวังว่าจะได้บันทึกภาพผีๆ ไว้ให้คุณๆ ได้ดูกันสักใบ
“ แต่ก็ผิดหวัง ”
เคลื่อนรถไปได้ยังไม่ทันพ้นแนวทาวน์เฮาส์
ผมต้องเบรกรถอีกครั้งจนคนในรถหัวคะมำ บ่นกันขรม
เมื่อหางตาหันไปเห็นเงาจางๆ ของคนที่นั่งจิบเหล้าหน้าบ้าน เต็มๆ ตา
ชะเง้อชะง้อรอท่าราวกับรอใครสักคนมานั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ด้วย
ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไปกับท้องฟ้าของตอนกลางวัน
+++++++++++
บันทึกไว้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2554
ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่มีสถานที่จริง และมีการลงข่าวตามที่เขียนเสนอไปแล้วนั้นจริง
และเป็นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
และยังน่าเชื่อว่าตอนนี้แถวนั้นยังคงมีเรื่องนี้ปรากฏอยู่ เผื่อเอาไว้ว่าใครอยากจะไปพิสูจน์ดูบ้าง
สถานที่คือซอยนวมินทร์ 88 แยก 3 -13
ส่วนตัวข้าพเจ้า เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันอีกจนได้ จึงเป็นที่น่าเสียใจยิ่ง
ด้วยความที่ไม่ได้เห็นผีเป็นตัวเป็นตนแบบนี้มานานมากแล้ว
ครั้งนี้จึงถือว่าใกล้เคียงมากจริงๆ ที่จะพิสูจน์ได้ว่า
“ผีน่ะ มีจริง”
ปัฐพี คเวสกรณ์
No comments:
Post a Comment