อิฐทุกก้อน เสาทุกต้น ลูกหลานทุกคน.. คือสมบัติของแผ่นดิน!!
ผมนั่งอ่านข่าวระหว่างรอเวลาอาหารกลางวัน ที่สั่งจากแม่ค้าร้านริมทางเจ้าประจำ เหมือนๆ กันกับแทบทุกวันที่ทำอยู่เป็นประจำ
ไม่ ใช่แค่ใกล้บ้าน ผมชอบร้านนี้เพราะรสชาติอาหาร ผมทานค่อนข้างยากเพราะความป่วยไข้ ทำให้ไม่สามารถทานรสจัดได้ แต่ร้านที่ทำอาหารรสไม่จัดให้อร่อยได้ มีน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ
และอาจเป็นเพราะอัธยาศัยของเจ้าของร้านก็ด้วย เรามักคุ้นกันดี อันนี้เรื่องธรรมดาของลูกค้าประจำ
แต่ไม่ว่าลูกค้าคนไหนเจ้าของร้านก็เอาใจใส่ดีเสมอ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบ
ส่วนอันสุดท้ายที่ทำให้เป็นลูกค้าประจำกันจริงๆ เห็นจะเป็นเพราะหนังสือพิมพ์..? ที่มีให้อ่านระหว่างรออาหารนี่แหละ
ก็..เวลารออะไรสักอย่างนี่มันทรมานนะครับ โดยเฉพาะการรอผู้หญิง กับอาหาร จะทรมานเป็นพิเศษ ว่าเข้าไปนั่น!
ผมอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้เรื่อยๆ
ผมชอบอ่านหนังสือน่ะครับ ชอบมาตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว
แต่..! ช่วงเวลาที่บ้านเมืองไม่ค่อยสงบ อย่าง พ.ศ. นี้ อ่านข่าวอะไรก็มีแต่เรื่องทำให้เศร้าใจ
หลายปีมานี้คนไทยไม่ค่อยรักกันดังเดิมอีกแล้ว ทะเลาะจงเกลียดจงชังกัน อย่างที่ไม่ค่อยมีเหตุผล
" มันเป็นเหตุจากการเมือง "
หลายคนให้เหตุผลว่าอย่างนั้น
แม้แต่ในหนังสือพิมพ์ที่ผมอ่านเค้าก็ว่าอย่างนั้น
คงจะจริงของเค้ากระมังครับ ผมไม่ค่อยอยากวิจารณ์เรื่องนี้สักเท่าไร เพราะผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่คนไทยกำลังทะเลาะกันอยู่ตอนนี้
แต่ มันทำให้ผมรู้สึกอยู่อย่างว่า ขโมย ขโจรมันเยอะขึ้น อาศัยช่วงชุลมุนนี้ทำความชั่วกันโดยไม่ค่อยมีใครใส่ใจ ทั้งโจรข้างถนน ทั้งโจรใส่สูท ช่วงนี้กลายเป็นข่าวเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครได้สนใจ
โดย เฉพาะข่าวตัดเศียรพระไปขาย มีบ่อยมากในหัวข้อข่าวช่วงนี้ เห็นว่ามีคำสั่งซื้อกันมาเลยทีเดียว โดยเฉพาะพระจากอยุธยา ลพบุรี และกาญจนบุรี แต่ก็เป็นหัวข้อข่าวเล็กๆ เท่านั้น
ส่วนหัวข่าวใหญ่ กลับถูกบดบังไปด้วยข่าวความวุ่นวายของบ้านเมือง ผมซึ่งค่อนข้างเบื่อข่าวพวกนี้เต็มทน ก็เลยหันไปสนใจคอลัมน์เล็กๆ ข่าวประเภทไม่ใช่การเมืองซะบ้าง แม้จะถูกต่อว่าต่อขานจากทั้งสองฝากฝ่ายว่าไม่รักบ้านเมืองก็ตามที
แต่...มันก็ทำให้ผมได้พบกับข่าวเล็กๆ ที่ไม่ธรรมดาสำหรับผมข่าวนั้น..
หนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่ของประเทศเจ้าหนึ่ง ที่ผมกำลังอ่าน ได้ลงข่าวเล็กๆ ที่ดูแทบไม่สำคัญนั้น ไว้ที่หน้ากลางค่อนไปทางท้ายๆ!!
วันนั้น.. โชคไม่ดีเอาเสียเลย
หนังสือ พิมพ์ฉบับประจำวัน มีคนอ่านอยู่แล้ว ทำให้ผมต้องหาหนังสือพิมพ์เก่าๆ สักเล่มมาอ่านฆ่าเวลา เล่มที่หยิบขึ้นมานั้น มันเป็นหนังสือพิมพ์ของเมื่อ 3 วันก่อน
เวลานั้นผมไม่เคยคิดเลยว่า มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่มหัศจรรย์จริงๆ สำหรับผม ที่เลือกหยิบได้หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาดู
และถ้าผมไม่เบื่อข่าวหลักๆ ปกติแล้วคอลัมภ์เล็กๆ แบบนี้ผมคงจะไม่อ่านและข้ามมันไป
แต่ไม่ใช่สำหรับวันนั้น..
4 วันก่อน
ผม อยู่ที่อยุธยา เพื่อนสนิทชวนไปเที่ยวไหว้พระขอพร และชมเมืองเก่าแห่งราชธานีไทย ด้วยเห็นว่าผมไม่ค่อยสบายบ่อย และยังไม่มีคนรู้ใจใกล้ตัว
พวกเลยจัดการนัดเพื่อนๆ ของแฟนมาด้วยอีกหลายคน นัยว่า อยากให้ผมได้ดูตัวสักหน่อย
เราไปถึงอยุธยากันตอนเช้า ประมาณ 9 โมง เช่ารถจักรยานเพื่อขี่ตระเวนชมเมืองกัน ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้
ออกจากกรุงเทพฯ ราวๆ 76 กิโลเมตร
หรือ 2 ชั่วโมงโดยประมาณ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน ผ่านประตูพระอินทร์ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตาม ทางหลวงหมายเลข 309 เพื่อเข้าสู่จังหวัดอยุธยา..
"อยุธยา"
เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพอันน่าชื่นชมของสองริมฝั่งน้ำ
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการค้าขายกับต่างชาติ โดยเรือสำเภาที่สัญจรในแม่น้ำเจ้าพระยามาแต่เมื่อครั้งอดีตกาล
รวมถึงโบราณสถานและวัดอีกมากมาย
การที่จะเที่ยวชมอยุธยาให้หมดภายในวันเดียว จึงเป็นเรื่องที่ยาก
เราจึงตกลงใจเลือกชมสถานที่สำคัญเพียงบางส่วนเท่านั้น
หลังจากลงรถทัวร์ ที่หน้าโรงแรมอโยธยา
( หวังว่าคงไม่จำชื่อโรงแรมเค้ามาผิดนะครับ ถ้าผิดจริงต้องขออภัยด้วยจริงๆ เนื่องจากผมเองก็จำชื่อโรงแรมไม่ค่อยได้แล้ว )
เราก็ไปเช่ารถจักรยานเพื่อขับเที่ยวชมเมืองกัน
โดย เริ่มจากการเลี้ยวซ้ายจากถนนใหญ่เข้าตัวเมือง แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที ตรงวงเวียนซึ่งเป็นเจดีย์ ก็จะเจอวัดพระเมรุใหญ่ชัยมงคล วัดจะอยู่ทางซ้ายมือครับ
หลังจากนั้นก็ตรงไปจะเป็นวัดพนัญเชิง เวลาตอนนั้นก็ราวๆ 11.30 น. เข้าไปแล้ว เราจึงแวะกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวที่วัดใหญ่ชัยมงคลกันอีกครั้ง
คนเยอะมากร้านนี้ แต่อร่อยจริงๆ ครับ
ระหว่างนอนพักกลางวันกันตรงศาลาริมน้ำ
เราก็คุยกระหนุงกระหนิงกันเรื่อยเปื่อย ตามประสาหนุ่มๆ สาวๆ
( หนุ่มจริง จริ๊ง ^ ^!!! )
พร้อมกับรับลมเย็นๆ ให้อาหารย่อยพอประมาณแล้ว
เราก็ไปต่อกันที่วัดมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ วัดหน้าพระเมรุ จนราวๆ 4 โมงเย็นกว่าๆ เราก็แวะถ่ายรูปกันที่วัดไชยวัฒนาราม
โดย ที่นี่เราจะถ่ายรูปกันมากเป็นพิเศษ ไม่เพียงเพราะเป็นวัดสุดท้ายที่เราจะไปเที่ยวกันแล้ว ที่นี่ยังมีสนามหญ้าตัดกับโบราณสถาน สวยงามน่าถ่ายรูปเป็นที่สุดเลยครับ
หลังจากถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว เราก็พากันเตรียมตัวกลับ โดย
ตอนขากลับเราจองเรือด่วนเจ้าพระยาเอาไว้แล้ว เพื่อสำหรับชมทัศนียภาพของสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาขณะกลับด้วย
ปกติเรือด่วนเจ้าพระยานี้จะขึ้นกันได้ที่พระราชวังบางปะอิน ผ่านวัดไผ่ล้อม และศูนย์ศิลปาชีพบางไทรด้วยนะครับ
ขณะที่เรากำลังจะกลับกรุงเทพฯ กันแล้วนั้น
ในระหว่างทางที่เราขับรถกลับ เพื่อนำไปคืนร้านเช่า
ก็สังเกต เห็นคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรกันอยู่ ณ. วัดข้างทาง
รวมถึงมีทั้งรถตำรวจและรถมูลนิธิอยู่ด้วย
ด้วยความสงสัย เราจึงแวะดูกับเขาด้วย
สิ่งที่เราพบคือชาวบ้านและพระมุงดูพระพุทธรูป ซึ่งมีอยู่หลายองค์เรียงรายกันอยู่ในวัด
สังเกตเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปที่ดูค่อนข้างเก่าแก่ แลดูมีมนต์ขลัง
"หากแต่หลายองค์ในนั้นมีรอยบั่นเศียร"
บ้างก็ขาดไปแล้ว บ้างก็มีรอยตัดแต่ยังไม่ขาดออกจากกัน สภาพน่าหดหู่มากครับ
โดยเฉพาะ องค์พระประธานในโบสถ์ใหญ่ ซึ่งมีตำรวจและพระยืนมุงดูและคุยกันหลายรูป หลายคน
พระประธานองค์ใหญ่ถูกทุบ จนส่วนที่เป็นลำตัวแตกหักเสียหาย มองเห็นลึกเห็นเข้าไปข้างในองค์พระประธานปูนปั้นนั้น
ปรากฏว่ายังมีพระพุทธรูปฝังอยู่ข้างในอีกองค์ เป็นองค์เล็กๆ สูงไม่น่าจะเกิน 2 ฟุต ดูเหมือนจะทำด้วยทอง หรือโลหะผสมคล้ายทอง
พระ พุทธรูปองค์เล็กนั้น ถูกคนใจชั่วพยายามบั่นเศียรด้วยเลื่อย แต่ไม่สำเร็จ มีคนมาพบเห็นเสียก่อนเลยทำให้คนร้ายไม่สามารถนำเศียรพระออกไปได้ แต่เศียรพระก็ถูกบั่นไปมากจนเกือบขาดออกจากกันเสียแล้ว
สอบถามจากชาวบ้านได้ความมาว่า
ในช่วงตอนกลางวันถึงตอนเย็นไม่มีใครอยู่ที่วัดเลย
เพราะมีงานแสดง " แสงสีเสียงอยุธยามรดกโลก " และงาน " ของดีศรีอยุธยา "
ซึ่งจะจัดเป็นเวลา 7 วัน ในวันที่ 13 เดือนธันวาคมของทุกปี
ทำให้พระ เณรในวัดไปร่วมงานกันหมด รวมถึงพวกเด็กวัดด้วย
เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนมาตัดเศียรพระกลางวันแสกๆ
"รวมถึงไม่มีใครรู้เลยว่า ในพระประธานมีพระพุทธรูปฝังอยู่ด้วย"
มารู้ก็หลังจากที่เห็นพระประธานถูกทุบนี่เอง
( คาดว่าคนร้ายพอจะตัดเศียรพระประธานก็พบว่ามีโพลงอยู่ข้างในจึงทุบองค์ดู )
หลังจากที่เรารู้เรื่องก็รู้สึกสลดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของตำรวจเขาต่อไป..
เมื่อนำจักรยานไปคืนที่ร้านเช่าแล้ว พวกเราก็มาขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยากลับกรุงเทพฯ กัน
ความ รู้สึกดีๆ จากการเที่ยวแม้จะหายไปบ้างเพราะเรื่องสลดใจที่เกิดขึ้นนี้.. แต่ก็ถือว่ายังรู้สึกดีอยู่มากที่ได้มา ได้เห็นโบราณสถานสวยๆ งามๆ ของประเทศของเรา ซึ่งน่าอนุรักษ์ไว้..
ลมยามเย็นจากเรือ ก็ทำให้รู้สึกดีมากๆ แม้จะไม่ได้แฟนกลับไป แต่ผมก็ว่าคุ้มแล้วที่ได้มา
-----------------
และ..ข่าวที่อ่านเจอในวันนี้
ทำให้ผมต้องคิดไปถึงเรื่องที่ประสบมาที่อยุธยาทันที
"มันคือข่าวของวัดนั้น"
วัดที่มีพระพุทธรูปถูกบั่นเศียรในวันที่พวกเราไปเจอนั่นเอง!
เนื้อข่าวลงไว้ว่า 3 คนร้ายลักลอบตัดเศียรพระเสียชีวิตอนาถ!
จาก การให้การของชาวบ้านทำให้ทราบว่า คืนนั้นมีคนร้าย 3 คนลักลอบเข้ามาจะตัดเศียรพระไปขาย จากของเดิมที่ถูกตัดไปแล้วแต่เอาไปไม่สำเร็จ จึงคิดว่าคนร้ายคงย้อนกลับมาลงมืออีกครั้งในตอนกลางคืน
แต่.. มาประสบเคราะห์กรรมเข้าเสียก่อน
โดยชาวบ้านเล่าว่า
คืนนั้น! มีคนได้ยินเสียงร้องโหวกแหวกโวยวายเสียงหลง คล้ายกับหวาดกลัวอะไรสักอย่างอย่างสุดขีด แต่ก็ไม่มีใครได้ออกไปดู
ด้วย เหตุว่า ขณะนั้น ได้มีลมพัดกระโชกแรง และฝนหลงฤดูก็ได้ตกลงมาอย่างหนัก ถึงจะมีคนสงสัยว่าใครมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ แต่ก็ออกไปดูไม่ได้
จนกระทั่งเสียงนั้นก็เงียบไปเอง..
จนถึงตอนเช้า ก็มีชาวบ้านและพระเณร ไปพบศพของทั้ง 3 คนเข้า
เจ้าหน้าที่ตำรวจ และคนที่ประสบเหตุ คาดว่า เพราะฝนนอกฤดูที่ตกมาอย่างหนัก และลมกระโชกแรง
ทำให้หลังคาศาลาวัด ซึ่งมุงด้วยสังกะสี หลุดออกมา
และปลิวไปโดนคอของคนร้าย 2 คน
คนหนึ่งหัวขาดร่องแร่ง แต่ยังไม่หลุดออกจากลำตัว
ส่วนอีกคนก็โดนสังกะสีบาดจนหัวขาดหลุดไป
คน สุดท้ายคาดว่าขณะพยายามหนี แต่ดันวิ่งไปชนเข้ากับไม้ไผ่ปลายแหลมซึ่งถูกมัดวางกองไว้บนชั้นเก็บของ ซึ่งมัดรวมกันไว้หลายท่อน จนลำตัวทะลุเป็นรู
แต่..!
ไม่มีใครคาดเดาถึงสาเหตุที่ทั้ง 3 คนส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัวได้!!
ได้แต่สัญนิฐานกันไปต่างๆ นาๆ
และ.. ด้วยสองในสามคนนั้นเป็นคนร้ายที่อยู่ในหมายจับ
ข้อหาแอบลักลอบขโมยเศียรพระไปขายอยู่แล้ว
การสรุปสำนวนจึงไม่ยากเย็นนัก!
สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจผมมากที่สุด! เมื่อเห็นข่าวนี้ก็คือ...
"ลักษณะการตายของคนร้ายทั้งสาม
ช่างบังเอิญเหมือนกับที่พระพุทธรูปถูกกระทำไว้ยังไงยังงั้นไม่มีผิด"
คนหนึ่งหัวขาดเหมือนพระพุทธรูปที่เศียรถูกบั่นขาดไป
อีก หนึ่งคอแทบขาด แต่ก็ไม่หลุดไป ช่างเหมือนกับพระพุทธรูปบางองค์ที่ถูกคนร้ายบั่นเศียรเอาไว้แต่ยังไม่เสร็จ เศียรพระจึงไม่ขาดสนิทจากกันดี
ส่วนอีกคน ก็ท้องแตกราวกับพระประธานในโบสถ์เสียนี่กระไร
"มันช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ทำเอาขนผมลุกซู่ทีเดียว.."
จะเป็นเรื่องบังเอิญรึไม่ อย่างไรก็ตามที!
-------------
ผมก็มีความเห็นโดยส่วนตัวว่า
ยัง คงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองพระพุทธศาสนาอยู่ แต่คงไม่ใช่ว่าพระท่านจะสาปแช่งคนเหล่านั้นก็หาไม่ แต่น่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่าง ที่คอยดูแลอยู่
แต่กระนั้นก็ตาม เราเองก็ควรต้องช่วยกันดูแลปกป้องสมบัติของชาติด้วย เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็คงไม่สามารถดูแลได้ทั่วถ้วนเป็นแน่แท้
วันนั้นผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย พลางคิดไปว่า
ประเทศ ไทยเป็นอย่างนี้ไปแล้ว พุทธศาสนาถูกย่ำยีไปขนาดนี้แล้ว คนในประเทศเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกันต่อไปอีก แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเราได้อีกมากน้อยแค่ไหนในประเทศนี้?
เรื่องนี้ความจริงแล้วอาจเป็นเพียงความบังเอิญที่อาจจะเกิดขึ้นได้..
ก็เป็นได้...
แต่ผมยังคงหวังลึกๆ ในใจว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยังคงคุ้มครองผู้ทำความดี และปกปักรักษาประเทศนี้เช่นนี้ต่อไป...
ปัฐพี คเวสกรณ์
No comments:
Post a Comment