mybloglog

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา
อยู่ระหว่างหนีเที่ยว

Search This Blog

Pages

Thursday, June 3, 2010

ผีแม่ลูกอ่อนที่ " ขวา สะพาน "

ที่หมู่บ้านของผมมีสถานที่ที่แปลกประหลาดอยู่ที่หนึ่ง
ตัวสถานที่นั้นก็ไม่แปลกสักเท่าไรหรอกครับ แต่ที่แปลกก็เห็นจะเป็นชื่อเรียก
พวกเราเรียกที่นั่นว่า

" ขวา สะพาน "

อัน ว่าในภาษาเหนือนั้นจะเรียกสะพานว่า " ขวา " ครับ หวังว่าคงไม่สับสนกันนะครับ แล้วในเมื่อเรียก สะพานว่า " ขวา " แล้ว แล้วทำไมจึงต้องเรียกที่นั่นว่า " ขวา สะพาน " ด้วย ซึ่งถ้าได้สังเกต คงจะเห็นว่ามันเรียกซ้ำซ้อนกันอยู่

มันมีที่มาที่ไป อย่างนี้ครับ..

เนื่อง จากหมู่บ้านของผม มีแม่น้ำสายหลัก ตัดผ่านสองฝากฝั่งของหมู่บ้าน เป็นแม่น้ำที่แต่เดิมทีค่อนข้างกว้าง ชื่อแม่น้ำท่าทราย กว้างประมาณ เกือบ 30 เมตร เห็นจะได้ และเพื่อเชื่อมสองหมู่บ้านเข้าด้วยกัน ทางราชการ จึงได้สร้างสะพานขนาดใหญ่ขึ้น ผู้คนที่มาสร้างนั้นไม่ได้เรียกว่าสะพานว่า

" ขวา "

ตามชาวบ้าน แต่เรียกกันว่า

" สะพาน "

เพราะนี่ คือการสร้างสะพานครับ
ชาวบ้านเองก็เลยเรียกที่นั่นว่าสะพานต่อๆ กันมาเช่นกัน

จาก แม่น้ำสายใหญ่ ก็มีแม่น้ำสายเล็กๆ กว้างประมาณ 5 - 6 เมตร แยกออกมาขนานไปกับแม่น้ำสายหลัก ที่แม่น้ำเล็กๆ นั้นชาวบ้านได้สร้างสะพานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และเรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า " ขวา "

ซึ่งทั้ง

" ขวา "

และ

" สะพาน "

นั้นห่างกันไม่มาก ไม่ถึง10 เมตร
ที่นั่นจึงถูกเรียกกันต่อๆ กันมาว่า

" ขวา สะพาน "

นั่นเอง...
อันว่า " ขวา สะพาน " นั้นเก่าแก่มากครับ .
น่า จะมีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิดซะด้วยซ้ำ เพราะพอผมจำความได้ก็เห็น " ขวา สะพาน " นี่แล้ว ด้วยเพราะความเก่าแก่โบราณผ่านกาลสมัยมานานมาก ทำให้ " สะพาน " เกิดพังลง และชาวบ้านไม่สามารถซ่อมแซมกันเองได้ เพราะขนาดอันใหญ่โต ของมัน ผิดกับ " ขวา " ซึ่งไม่ว่าจะพังไปกี่ครั้งชาวบ้านก็จะมาซ่อมแซมกันเอง

ทำให้งานนี้ราชการต้องมาช่วยกันซ่อมใหม่อีกครั้ง
และ..เหตุจากการซ่อมสะพานครั้งใหม่นี่ละครับที่ทำให้เกิดเรื่องที่น่าขนลุกขนพองขึ้น จนต้องนำมาเล่าให้คุณๆ ได้ฟัง

การสร้างสะพานนี้เป็นงานค่อนข้างใหญ่
ทำ ให้มีพวกคนงานมาอยู่กันเยอะ มีการสร้างเพิงพักของคนงานใกล้ๆ แม่น้ำที่ทำสะพาน และในนั้นก็จะมีลูกเมียคนงานตามมาอยู่ด้วย และก็ในบรรดาภรรเมีย คนงานทั้งหลายนั้น ก็มีคนท้องแก่ อยู่คนหนึ่ง ตามมาอยู่กับสามีด้วย คาดว่าเมื่อสะพานสร้างเสร็จ คงครบกำหนดคลอดพอดี

ใน ขณะที่สะพานกำลังใกล้จะเสร็จอยู่แล้วนั้น ก็มีเรื่องไม่น่าจะเกิดได้เกิดขึ้น ผู้หญิงที่ท้องคนนั้น ไปขุดหาหน่อไม้ ซึ่งจะมีต้นไผ่หวาน อยู่ใกล้ๆ กับสะพานซึ่งมันจะขึ้นอยู่เป็นดง ทำให้ใต้สะพาน ดูครื้ม ตลอดทั้งวัน

แต่ปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบได้ เมื่อมีคนมาพบว่าเธอตกลูกที่นั่น และเสียชีวิตไปเสียแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานนัก
ก็มีข่าวว่า บริเวณ " ขวา สะพาน " นั้น
มีผีแม่ลูกอ่อน ออกมาสร้างความหวาดผวาไปทั่วบริเวณ คนงานแทบจะเลิกทำสะพานต่อ ทั้งๆ ที่จวนจะเสร็จอยู่แล้ว

แม้แต่ชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งยังอยู่ห่างจากตรงนั้นไปตั้งกว่า 200 เมตร ยังได้ยินเสียงเด็กอ่อนๆ ร้องไห้
แล้วยังได้ยินเสียงคนร้องเพลงกล่อมเด็ก แว่วๆ มาให้ได้ยินกันอยู่เรื่อย
โดยที่ลูกคนงานอื่นๆ ก็โตๆ กันแล้ว ไม่มีเด็กเล็กๆ เลยสักคน..

และแล้วในที่สุดสะพานก็ซ่อมเสร็จจนได้
แต่ กว่าจะเสร็จ หัวหน้าคนงานต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ จนคนงานต้องอยู่ทำสะพานจนเสร็จ หลังสะพานสร้างเสร็จ คนงานแทบจะรีบย้ายออกจากบริเวณนั้นทันที
ไม่! แม้แต่จะรื้อเพิงพัก ออกเสียด้วยซ้ำ

หลังสะพานสร้างเสร็จ และคนงานก็ไปกันจนหมดแล้ว
ทุกคนก็คิดว่าเรื่องคงจะจบลงแล้ว

แต่... ทุกคนก็คิดผิด

ทุก ครั้งเวลากลางคืน ทุกคนที่อยู่ใกล้ หรือผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นมักจะได้ยินเสียง เด็กร้องไห้ และได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กแว่วๆ มาเสมอ รวมถึงบางคนที่เคยเห็นแม้กระทั่งมีคนไปยืนเห่ กล่อมเด็กอยู่ใต้สะพานนั้นอีกด้วย
และเมื่อมองลงไป ก็จะเห็นผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ เงยหน้ามองกลับขึ้นมา แล้วใบหน้าอันขาวซีด นั้นก็จะลอยเข้ามาหา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ...

จนผู้คนผวา ไม่กล้าเข้าใกล้ " ขวา สะพาน " อีกเลย

ส่วน ตัวผม แม้จะไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนเลย แต่ก็พยายามหลีกเลี่ยง ที่จะไม่ไปใกล้บริเวณนั้นเสมอ โดยเฉพาะเวลากลางคืน แม้จะเป็นแค่ หัวค่ำก็ตามที

และ ด้วยความที่มันเป็นแม่น้ำสายหลัก ทำให้สะพานไม่ได้มีอยู่ที่เดียว แต่สะพานถัดไปที่ใกล้ที่สุดนั้น อยู่ห่างจากกลางหมู่บ้านไปอีกเกือบๆ 800 เมตรและห่างไกลบ้านผู้คนพอสมควร

800 เมตร ในสมัยนั้นนี่ไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ โดยเฉพาะ เมื่อผู้คนสัญจรยังใช้วิธีการเดิน และจักรยานบ้างเป็นหลัก มอเตอร์ไซค์น่ะมีน้อยคันนักในหมู่บ้าน และไม่มีรถยนต์เลย ซึ่งไม่เหมือนกับสมัยนี้หรอกครับ

แต่ไม่ว่ายังไง! ถ้าเป็นตอนกลางคืน ชาวบ้านที่นี่เค้าเลือกที่จะเดินไปใช้อีกสะพานมากกว่า

สะพาน ที่ว่านี้สร้างในช่วงที่แม่น้ำคอดกิ่วที่สุด และไม่มีแม่น้ำเส้นขนานแล้ว จึงไม่ใช่สะพานที่ใหญ่โตนัก ชาวบ้านช่วยกันสร้างกันเองด้วยไม้ และใจ

สำหรับผมถ้าเป็นตอนกลางคืน แล้วจะให้เลือกว่าจะใช้สะพานไหน คำตอบคือ

"ไม่"

ทั้งสองสะพาน...

จนกระทั่งวันหนึ่ง... ก็มีความจำเป็นมาบังคับให้ผมต้องเลือกจนได้

ความจำเป็นที่ว่านั้นก็คือ..หนังกลางแปลง!!
โห.. คงมีคนโห่ผมกันเยอะนะนี่ จะดูหนังทั้งทีทำไมไม่ไปเมเจอร์ หรือ EGV ? ..ปาด โธ่ ก็สมัยมันนั้นมันมีซะที่ไหนละครับไอ้ที่ว่ามาน่ะ หนังกลางแปลงที่คนฉายเองพากษ์เองนี่ละครับความมันส์อันทันสมัยสูงสุดของหมู่ บ้านป่าชาวดงแล้ว

แล้วไอ้หนังที่ว่ามานี้น่ะ มันก็จะแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักๆ ตามสูตรแป๊ะๆ เลย ก็คือ ตอนแรกจะฉายหนังพื้นๆ ตลกๆ หน่อยให้เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี เรียกว่าหนังครอบครัวนั่นละครับ
แล้วจะ คั่นรายการด้วยการขายยา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าจะเอามาขาย หนังรอบแรกนี้ก็จะเริ่มตั่งแต่ 1 ทุ่ม เป็นต้นไป จบราวๆ 2 ทุ่ม ครึ่ง
หลังจากนั้นก็จะเป็น หนังบู๊ แอ็คชั่นมันส์สะใจ

หนังบู๊นี่ละครับที่ผมรอดู !!

หนังบู๊จะจบ ราวๆ 4 ทุ่ม เห็นจะได้ แล้วจากนั้น ก็หนังติดเรตสำหรับผู้ใหญ่จะไว้ท้ายสุด หรือไม่ก็จะเป็นหนังผีอะไรเทือกนี้ !!

วันนั้นพวกเราชาวบ้านเหนือมากันหลายคน
เลยดูอุ่นใจหน่อย...

อ้อ..ลืมบอกไปแม่น้ำมันแยกเหนือใต้ เราเลยแยกเป็นหมู่บ้านเหนือ และหมู่บ้านใต้เช่นกัน
ชาวบ้านใต้มีโรงเรียนเป็นหลัก
ส่วนขาวบ้านเหนือมีวัดไว้สำหรับเป็นศูนย์รวมจิตใจ

หนังที่จะมาฉาย มาฉายที่โรงเรียนซึ่งอยู่หมู่บ้านใต้
ซึ่งก็หมายถึงด้านใต้ของ " ขวา สะพาน " นั่นเองครับ
ตอน มายังไม่มืดค่ำมากนัก และคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ของซื้อ ของขาย ของกิน ของคบเคี้ยวถูกนำมาวางเรียงราย หอมฟุ้ง นานๆ หมู่บ้านเราจะคึกคักแบบนี้ซะทีครับ ทำให้ผมเองพลอยคึกคักไปด้วยเลย ความรู้สึกหวาดกลัวผี " ขวา สะพาน " ไม่มีแม้แต่น้อยในขณะนั้น

วัน นั้นผมมาดูหนังคนเดียวครับ ที่บ้านผมไม่มีใครมาด้วยเลย เพราะติดว่าที่บ้านมีคนไข้กันหลายคน คือน้าสาวผมติดหวัดกันหลายคน ผมเองแม้ยังเด็ก แต่ก็ไม่ค่อยกลัวผี กลัวคนนัก อาจเป็นเพราะว่าปู่ผมเป็นกำนัน และน้าชายผมก็เป็นผู้ใหญ่บ้านด้วยก็ได้ ก็เลยดูนักเลงๆ หน่อยๆ ตามผู้ใหญ่เค้าน่ะครับ แฮะๆ...

ผมคิดเอาไว้ว่าหนังบู๊จบ จะรีบกลับทันที
ตอนนั้นคงมีเพื่อนกลับด้วยกันเยอะอยู่ แหม..
ผ่าน " ขวา สะพาน " นั่นตอนกลางคืนนี่ครับต้องเตรียมตัวเตรียมใจกันหน่อย แต่... การคาดการของผมผิดถนัด ไม่รู้พวกบ้านเหนือกลับกันไปหมดตั้งแต่เมื่อไร คิดว่าคงหลังจากหนังครอบครัวจบ พวกที่มาคงมากันเป็นครอบครัวทั้งนั้น เลยไม่มีใครอยู่ดูหนังบู๊กันเลย

คราวนี้ก็เหลือผมคนเดียวน่ะสิ หนังวันนั้นสนุกถูกใจผมมาก ความสนุกของหนังบดบังความกลัวในใจผมไปได้ไม่น้อยทีเดียว

แม้จะกลับคนเดียวแต่วันนั้นผมก็เลือกที่จะใช้เส้นทางผ่าน " ขวา สะพาน "

ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และไม่คิดว่าจะเจอกับอะไรด้วย
แค่ราวๆ 200 - 300 ร้อยเมตร จากที่ฉายหนังทำให้ " ขวา สะพาน " ยังมีเสียงดังพอให้ได้ยินให้ชื่นใจ ใจผมมาเป็นกองครับตอนนั้น

แต่.. ยิ่งเข้าใกล้ความมืดก็ยิ่งมาก ความกลัวก็ยิ่งทวีคูณเข้าเกาะกินหัวใจ เสียงลำไผ่เสียดสอดดังเอียดออดแว่ววังเวง บางครั้งแตกลั่นดังเปรี๊ยะๆ ลมหวิวลอดผ่านลำต้นกิ่งใบจนเสียงของหนังที่แว่วมา ถูกกลบลงไปด้วยเสียงไผ่ลู่ลม
จู่ๆ ...!!

จักรยานเจ้ากรรมของผมก็ตกร่องไม้ของสะพานซะยังงั้น
เพราะ ความมืดทำให้มองไม่เห็นร่องไม้ ซึ่งถ้าเป็นเวลากลางวันมันจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลย แต่ตอนนี้มันกลางคืน ดึก เปลี่ยว ทำให้ผมจำใจต้องลงไปจูงจักรยานข้ามสะพานแทนการปั่นอย่างช่วยไมได้

ฉับพลัน..!!

บางสิ่งบางเสียง
ก็ดังเล็ดลอดเสียงไผ่เข้ามากระทบถึงหูผม ผมได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กเบาๆ แว่วๆ มา
ตอน แรก นึกว่าหูฝาด แต่เสียงมันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ลอดมาจากใต้กอไผ่ เสียงเด็ก ร้องเอ๊าะแอะ งอแง แว่วตามมา ผมตัวชาขาแข็งทื่อ เสียงเด็กเริ่มร้องไห้ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ..

" อย่าหยุด..!! "

ผมคิด

" เดินไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ "

" อย่าหยุด "

แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่เท้าผมกลับไม่ยอมทำตามเอาเสียเลย มันแข็งและหนักราวกับได้กลายเป็นต่อม้อสะพานไปเสียแล้ว

และแล้ว!!

ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่รถเจ้ากรรมของผมตกลงไปในร่องไม้เสียงดัง

" ตึก "

คราวนี้มันติดแหง๊ก ขยับไม่ได้
ตาเจ้ากรรมเองก็ดันเผลอมองลอดไปที่กอไผ่

และแล้ว!! สายตาของผมก็เหลือบไปเห็น.. ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เธอกำลังเงยหน้ามองขึ้นมาดูผมอย่างช้าๆ

ทันใดนั้น..!?

มือใครสักคนก็คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าขวาของผม มันลอดช่องไม้ด้านข้างของสะพานเข้ามาจับ
ผมทิ้งรถจักรยานทันที เผ่นหนีไม่คิดชีวิต พยายามจะร้องให้สุดเสียง แต่ราวกับคอถูกตะคริวจับกิน ไม่มีเสียงลอดมาแม้แต่แอ๊ะเดียว

ผมทะลึ่ง พรวดพราดเข้าบ้าน ท่ามกลางความตกใจของใครหลายคน!
แต่... นั้นคงไม่เท่ากับผม ผมเข้าไปนั่งคลุมโปงอยู่กลางบ้าน ไม่ยอมตอบคำถามของใครทั้งนั้น

รุ่งเช้าผมก็จับไข้ เพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง ที่บ้านต้องพาไปหาหมอ และทำพิธีเรียกขวัญ

ข่าวผมถูกผีแม่ลูกอ่อนหลอก กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว แม้ผมจะยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยก็ตาม เห็นรถผมที่สะพานเค้าก็พอรู้แล้ว

หลาย วันต่อมาอาการของผมก็ดีขึ้น ปู่เองก็คอยมาปลอบโยนผมอยู่ใกล้ๆ พลางหัวเราะขำๆ หาว่าผมขี้กลัวไปได้ ปู่เค้าผ่านไปผ่านมาตั้งหลายทีหลายหน ไม่ยักเจอผีแม่ลูกอ่อนนี่สักที

ปู่ผมไม่กลัวผีครับ !
ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ปู่ฟัง รวมถึงเรื่องมือที่มาจับข้อเท้าผมไว้ ปู่ก็บอกว่า
ผมคิดไปเองหรือเปล่า?
หรืออาจมีใครมาแกล้งผมเล่นก็ได้ !?

แต่.. !!

เท่าที่ผมจำได้ มือนั้นทั้งเล็ก และนุ่มราวมือของเด็กก็ไม่ปาน

และมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ ที่จะมีใครสักคนเอื้อมมือมาจากใต้สะพานขึ้นมาจับขาผมหรือใครได้..!

ผี ..!! ก็เหมือนกับความมืด

เป็นที่รู้กันว่า ที่ไหนมีแสงสว่าง ความมืดก็จะค่อยๆ หดหายไป
และผีก็มักไม่มีที่ให้อยู่ในแสงสว่าง เช่นกัน..

หลายปีต่อมา ความเจริญที่เข้ามาในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง
ทำให้มีบ้านเพิ่มขึ้น แสงไฟเพิ่มขึ้น ทุกอย่างเริ่มขยับขยายเข้าใกล้ " ขวา สะพาน " เข้าไปทุกขณะ

"ทีละน้อยๆ"

ความกลัวผีแม่ลูกอ่อนเองก็เริ่มลดน้อยถอยลงตามกันไป
แม้ผมจะยังคงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผีแม่ลูกอ่อนคู่นั้น มาอยู่อีกบ้างก็ตาม

แต่..นานวันเข้า การพบเห็นก็ได้ลดลงเรื่อยๆ

ส่วนตัวผมนั้น! ไม่คิดจะไปข้องแวะที่นั้นตอนกลางคืนอีก บอกตามตรงว่าเข็ดครับ

แม้จะยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ก็ตามที ว่าผีมีจริงหรือไม่?

และผมเจออะไร?

ในวันนั้น!!!

และแล้ว!! ในที่สุด..!

" ไฟฟ้า "

ก็เข้ามายังหมู่บ้านของผม

และ " ไฟฟ้า " ที่ " ขวา สะพาน " ก็มีติดตั้งแล้ว
นับแต่นั้น ก็ไม่มีเรื่องผีแม่ลูกอ่อน ออกมาหลอกมาหลอนชาวบ้านอีกเลย

นี่ !อาจจะเป็นเพราะแสงไฟ ?

หรือ !? เธอไม่มีห่วงที่นั้นอีกแล้ว ผมก็ไม่รู้..!!

.................
นี่.. !! ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรเล่า..!!!

ผมเฝ้าถามตัวผมเองบ่อยครั้งว่า.. ผมควรจะเล่าเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ?
และ ครั้งนั้นผมเจอผีเข้าแล้วจริงๆ หรือ..!?

มันค่อนข้างเป็นเรื่องสับสนในชีวิต
ตอนนั้นผมก็ยังเด็กนัก

ความมืด!
และความกลัว!
รวมถึงเรื่องที่ชาวบ้านเล่าๆ กันมาให้ได้ยิน!
อาจทำให้ผมคิดไปเองได้เช่นกัน

และนี่ จะไม่ใช่เรื่องที่ผมควรเล่าเลย
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ใกล้เคียงที่สุด เท่าที่ผมคิดได้ว่า

" ผมเจอ "

เข้ากับตัวเองแล้ว
และผมเฝ้าคิดมาตลอดว่า นี่ละ!
นี่คือประสบการณ์ถูกผีหลอก

แต่ก็อย่างที่บอก
ตอนนั้นผมยังเด็กนัก และสับสน

จนผมไม่กล้าให้คำตอบกับตัวเองชัดๆ ได้ว่า อะไร ? คือสิ่งที่ผมเจอ
อะไรจริง?
อะไรเท็จ?
และเท็จจริงแค่ไหน?

มันจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องรวบรวมเอาไว้
เพื่อเป็นการบันทึก สังเกตการณ์ สำหรับปรากฏการณ์ ผีหลอกวิญญาณหลอน สำหรับผมเท่านั้น..!

คุณละ ..!?

เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้ในชีวิตบ้างหรือเปล่า?
แล้วคุณสรุปความคิดเห็นของคุณว่าอย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้.. เชื่อ..หรือ ไม่?
และคิดว่า เชื่อ..ได้มากน้อยแค่ไหน?
และอะไรที่คุณเจอ?
แล้วอะไร? ที่ทำให้คุณเลือกที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ เช่นนั้น

ผมได้แต่หวังว่าคำตอบของคุณ จะเป็นบทสรุปให้กับคำตอบของผมได้สักวัน...
เมื่อวันแห่งการต้องตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อหรือไม่ !? ได้มาถึง !!!




ปัฐพี คเวสกรณ์

No comments:

Post a Comment