ครั้งเมื่อผมมีโอกาสได้กลับบ้านเกิด ในช่วงสงกรานต์ปีหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจได้เหลือเกินคือ
เด็กตัวเล็กๆ ที่เคยอุ้มเล่น เคยจับแก้ม ตอนนี้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว
อย่างไม่น่าเชื่อ...
เดี๋ยวนี้คงจะไปแตะเนื้อต้องตัวพวกเค้าเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว
โดยเฉพาะ เด็กสาวๆ ซึ่งโตเป็นสาวสวยกันจนผมเองจำแทบไม่ได้
ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองแก่ไปมากขนาดนี้
นี่ผมคงกลายเป็นคุณลุง คุณน้าไปแล้วสินะ
เด็กบางคนที่โตๆ หน่อยยังคงจำผมได้
แต่เด็กรุ่นๆ นี่ กลับไม่มีใครรู้จักผมสักคน
คิดๆ ไปแล้วมันก็เศร้านะ
งานสงกรานต์ยังคงสนุกสนานเหมือนเดิมเหมือนทุกๆ ปี
เข้า วัดตักบาตรทำบุญ เจอเพื่อนเก่าๆ ญาติโกโหติกาที่ไม่ได้เจอกันมานาน เรื่องเล่าเรื่องคุยที่ไม่รู้จักจบ สุราอาหาร เสียงเพลงช่วยให้ความเครียดจากการทำงานหนักๆ ในเมืองกรุง สลายไปแทบสิ้น
สาวๆ ก็สวยกว่าวันปกติ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้
อาจจะเป็นเพราะ มันเป็นบรรยากาศของวันสงกรานต์กระมัง
เสียงร้องรำทำเพลงดังมาจากทุกบ้านไม่มีใครว่าใคร ก็วันนี้มันวันพิเศษนี่ครับ
เด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
พวกเราผู้ใหญ่ก็ตั้งวงกันตั้งแต่เช้ายันบ่าย บ่ายยันค่ำ ไปจนถึงดึก
ก็เหล้านี่ครับไม่ใช่ยาธาตุ มีรึไอ้ที่ว่าแก้วเดียวพอๆ น่ะ มีแต่อีกแก้ว ๆ ๆ ร่ำไป ละไม่ว่า 555+
ผมน่ะ เมาแล้วแฮงค์ แฮงค์แล้วถอน เวียนกันไปอยู่อย่างนี้สัก 3 วันได้มั้ง
กระทั่งวันที่ 4 ก็เริ่มถอนไม่ไหว เลยขอตัวพักก่อน
หลบออกจากวงสุรามาได้ ผมก็ไปเดินเล่นเก็บกินบรรยากาศบ้านนอกที่แสนคิดถึง เพราะไม่ได้มาหลายปี..
ขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสดชื่นอยู่นั่นเอง
สาวน้อยบนรถจักรยานคันหนึ่ง ซึ่งกำลังขับขี่สวนมาทางผม ก็เอ่ยทักขึ้นมา อย่างเป็นกันเอง และดูจะรู้จักผมดีเสียด้วย ว่า
" มาเดินเล่นอีกแล้วเหรอค่ะ มาเดินเล่นที่นี่ทุกทีที่กลับมาบ้านเลยน่ะ ที่นี่มีอะไรดีนักเหรอ ? "
เธอเอื้อยเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะ
น้ำเสียงอันไพเราะ สดชื่นพอๆ กับบรรยากาศทำให้ผมสร่างเมาไปได้มากทีเดียว
มันเพราะ ไม่ผิดไปจากหน้าตาอันน่ารักของเธอเลย
ปกติ คนเหนือจะหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่หุ่นค่อนข้างจะเตี้ยม่อต้อ หรือไม่ก็ออกจะท้วมๆ แต่เธอคนนี้ไม่ใช่เลยครับ เป็นแบบสาวเหนือที่พัฒนาไปแล้ว หุ่นเธองี้พอจะเป็นนางแบบได้เลย
" คนอะไรหัวเราะได้น่ารักชะมัดเลย "
ผมคิดในใจ ก่อนตอบไปว่า
" ก็มาเดินเล่นที่นี่ทุกทีแหละจ้ะ หมู่บ้านเราเล็กออกอย่างนี้ เลยไม่รู้จะไปไหนดีเหมือนกัน "
ผมพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
" เอ..หน้าคุ้นๆ นะเรา อยู่บ้านไหนเหรอ? "
ผมถามต่อ
" ไม่บอกหรอก นี่จำหนูไม่ได้จริงๆ เหรอ? "
เธออุทรณ์มาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนหวาน แล้วก็โบกมือให้ ขณะที่ขี่รถลับหายไปจากตรงนั้น ทิ้งฝันหวานๆ ไว้ให้ผมคิดไปต่างๆ นาๆ
ทั้งเรื่องเธอเป็นใคร และดูเหมือนทั้งผมและเธอจะรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่ผมจำเธอไม่ได้เท่านั้น
แต่แค่คิดแค่นั้นหัวใจคนโสดอย่างผมก็ลิงโลดน่าดูแล้วละครับ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดมันจะดีขนาดนี้ ถึงขนาดฝันไปว่ากลับมาบ้านคราวนี้ คงจะมีแฟนสักทีแล้วมั้งเรา 555++
ผม ใช้สมองอันไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไรนัก แต่หนักไปทางใช้ลำคอกับข้อมือตั้งแต่กลับมาบ้านมาอย่างหนัก ในการคิดถึงชื่อเธอ รำลึกความหลังเก่าๆ ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นใครกันแน่
และแล้ว เรื่องสยองที่ต้องเล่า ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของผม
อา...ใช่แล้วผมจำเธอได้ เป็นเธอคนนั้นจริงๆ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย!
คุณคงคิดสงสัยแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ?
ใจเย็นๆ ครับผมจะเล่าให้คุณฟังเอง
สัก 10 กว่าปี มาแล้ว ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเข้ามาหางานทำ และเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
ใน บรรดาเด็กรุ่นผม ยังมีเด็กตัวเล็กๆ อีกหลายคนค่อยวิ่งตามเรา ซึ่งเป็นหัวโจกพาพวกเด็กๆ เล่นกัน ในนั้นรวมถึงเด็ก ประมาณ 5 - 6 ขวบอยู่ด้วย
เธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ครับ...
ไม่ว่าจะมีงานอะไร ไม่ว่างานบวช งานแต่ง แม้แต่งานศพ พวกเราก็มีหน้าที่ดูแลพวกเด็กๆ อยู่เรื่อย
ซึ่งมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะพวกเราก็เล่นกันอยู่อย่างนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว
เรื่องของเรื่องมันเกิดที่งานศพ นี่ละครับ เป็นศพของคนในหมู่บ้าน
สมัยนั้นกว่าจะเอายาฟอร์มาลีนมาฉีดศพได้ก็ต้องใช้เวลาครับ เพราะในหมู่บ้านไม่มีต้องไปเอาที่ตัวเมืองโน้น
ใน ช่วงที่รอนั้นเค้าจะเอาน้ำแข็งมาใส่ศพเพื่อดูแลรักษาศพไว้ก่อน แล้วมันก็จะมีสายยางต่อท่อออกมาจากโลงศพ เพื่อระบายน้ำแข็งซึ่งละลายกลายเป็นน้ำทิ้งออกมา
ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่วุ่นๆ กับการเตรียมงาน และเด็กๆ ก็ง่วนอยู่กับการเล่นสนุก ก็เป็นเด็กคนนี้ละครับ เธอคงหิวน้ำจัด
..ว่าแล้วก็ไม่รอช้า !
เธอคว้าสายยางระบายน้ำแข็งจากโลงหมับ แล้วยกขึ้นมาดูดกินทันที !!
ผมรีบระร่ำระลักจะห้าม!!! ...แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว..!
...แล้วนี่.!! ผมกำลังคิดจะจีบเธอคนนี้น่ะเหรอครับ!!!
คิดๆ ขึ้นมาแล้ว.. ผมรู้สึกสยองขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก!? ก็..ใครจะไปอยากเชื่อว่าจะโตขึ้นมาจะสวยขนาดนี้ละครับโธ่...!
ให้ตายสิไอ้ปัฐเอ๊ย!!
ปัฐพี คเวสกรณ์
No comments:
Post a Comment