เป็นความจริงที่ว่าที่นั่นจะมีคนตาย 1-2 คน อยู่เสมอทุกปี !!
แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกการตาย ก็มีสาเหตุที่น่าเชื่อถือได้ทั้งนั้น
ไม่มีศพใด ที่หาสาเหตุไม่ได้!
หรือตายอย่างเป็นปริศนาเลย !!
ไม่ว่าจะเป็นการจมน้ำตายธรรมดาเพราะว่ายน้ำไม่แข็ง..
การกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย...
หรือแม้แต่อุบัติเหตุ..
ต่างก็ไม่มีเหตุจูงใจใดๆ ว่า
เป็นฝีมือของสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด !?
จึงเป็นเพียงเรื่องชวนสงสัยว่า
ทำไมคุ้งน้ำนี้จึงมีคนตายอยู่เนืองๆ ทุกปีเช่นนั้น..
ท่าวังผา..
เป็นหนึ่งในคุ้งน้ำแควนั้น
สิ่งที่ทำให้ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นคือ
เวิ้งน้ำที่นี่กว้างที่สุด..
ลึกที่สุด !
เย็นที่สุด !!
และ
เป็นที่ที่เหมาะแก่การเล่นน้ำที่สุด !!!
โดยเฉพาะ..
เมื่อมีหน้าผาสูงชันไว้ให้กระโดดน้ำเล่น เพื่อเป็นที่ทดสอบความกล้าของพวกเด็กๆ
ในสมัยเด็กๆ พวกผมชอบหนีผู้ใหญ่มาเล่นน้ำที่นี่กันบ่อยๆ
แม้จะถูกห้ามอยู่หลายครั้งหลายคราแล้วก็ตาม
แต่สำหรับเด็กๆ คำห้ามของพวกผู้ใหญ่เข้าหูเราน้อยกว่าน้ำเข้าหูเราเสียอีก
ดังนั้น !!
สำหรับพวกเรา
ผีพรายน้ำจึงเป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่มักใช้เล่า
เพื่อกันไม่ให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำที่นั้น เสียมากกว่า...!
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...
นานมาแล้ว..
มีคนพบศพหญิงสาวไม่ทราบที่ไปที่มา ลอยอยู่ในแม่น้ำที่ท่าน้ำนั้น
เมื่อพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดู
ก็สันนิฐานกันไปว่า
น่าจะเป็นคนจากที่อื่น ที่ถูกฆ่าตาย แล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่นี่เพื่ออำพรางคดี...
นับแต่นั้นมา!
ที่นั่น!!
ก็มีคนตายทุกปี ปีละ 1-2 คน เป็นประจำ!!!
พวกผู้ใหญ่เชื่อกันว่า " เธอ " ที่ถูกฆ่าตายไปในน้ำ
ได้กลายเป็นผีพรายน้ำ มาเอาตัวพวกนั้นไปอยู่เป็นเพื่อน!
สำหรับพวกเราเรื่องผีก็ทำให้กลัวอยู่บ้างในตอนแรกๆ เท่านั้นแหละ พอนานๆ ไปก็ลืม และกลับไปเล่นน้ำที่นั้นกันอีก
ผีเงือก..
คือชื่อเรียก ผีพรายน้ำ ของแถบทางบ้านผม
เราเรียกว่า ผีเงือก เหตุเพราะเป็นผีที่อยู่ในน้ำเหมือนเงือก
พวกผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ บางคนเชื่อกันว่า
ผู้หญิงที่ตายในน้ำพร้อมกับความเหงาเปล่าเปลี่ยว หรือตายพร้อมกับความอาฆาตแค้น
จะกลายเป็นผีเงือก อยู่ที่นั้น ที่ที่พวกเธอตาย
คอยจับลักพาตัวคนที่ยังมีชีวิตไปอยู่ด้วยเป็นเพื่อน เพื่อคลายเหงา
หรือเพื่อบรรเทาความเศร้า ความแค้นของพวกเธอ
ท่าน้ำใดที่มีคนตาย
โดยเฉพาะผู้หญิง!!
จึงมักมีศาลเพียงตา ตั้งไว้เพื่อเตือนใจให้คนลงน้ำต้องระวังเป็นพิเศษว่า
ท่าน้ำนี้มีอันตรายนะ มีคนเสียชีวิตมาแล้ว!!!
และเพื่อเป็นการปลอบโยนแก่ดวงวิญญาณผู้ที่ตายในน้ำนั้น...!
และ " ผีเงือก " ในความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่
มักมีท่อนบนเป็นหญิงสาว
ผมดำยาวกระเซอะกระเซิงราวสาหร่ายที่แผ่กระจายอยู่ในน้ำ
ตัวขาวซีดปนเขียวคล้ำ มือแขนเรียวยาว
ส่วนลำตัวเป็นงูแต่มีเกล็ดและหางเหมือนปลา
คอยจับข้อเท้าด้วยมือที่ยาวขาวซีดแต่แข็งแรง ดึงให้จมลงไปในน้ำ
จากนั้นจะขึ้นคล่อมกอดคอกดเอาไว้ไม่ให้หนี
พันแขนขาด้วยผมที่เหมือนสาหร่ายไม่ให้ว่ายน้ำได้
และรัดด้วยลำตัวที่เหมือนงู จนแน่น ให้หายใจไม่ออก
พาลากจมลงไปในน้ำที่ลึกและเย็นจนกว่าจะขาดใจตาย
คนที่โดนผีเงือกลักตัวไป ไม่ว่าจะงมยังไงก็ไม่มีทางหาตัวเจอ
จนกว่าจะครบสามวัน จึงจะกลายเป็นศพลอยขึ้นมาเอง
พวกเราไม่เคยเห็นผีเงือกกันเลยก็จริง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเงือกก็ทำเอาไม่กล้าเล่นน้ำไปพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
และที่ท่าวังผาเอง
ก็มีศาลเพียงตาเก่าๆ พังๆ อยู่เช่นกัน !!
แต่ด้วยความที่ล่วงเวลาผ่านมานาน
รวมทั้งมักไม่มีคนคอยดูแลศาลเพียงตาที่ปลูกทิ้งไว้ข้างทางด้วย
ทำให้ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ ศาลเพียงตา ขึ้นคลุมรกครื้มเสียจนแทบมองไม่เห็นตัวศาลเลย
ฤดูน้ำหลาก
น้ำจะเต็มลำน้ำสายนี้เสมอ
เป็นฤดูที่พวกเราออกหาปลากัน
ไม่มีใครเล่นน้ำเพราะน้ำค่อนข้างเชี่ยวกรากมาก
คนว่ายน้ำแข็งๆ ยังยอมแพ้
แต่พอถึงฤดูแล้ง
น้ำกลับแห้งเหือดจนเห็นกรวดทรายบนท้องน้ำ
จะมีน้ำขังเป็นคุ้งเป็นท่าบ้าง
ก็บางที่เท่านั้น..
และที่เหล่านี้ก็เป็นที่คลายร้อนอย่างดีสำหรับเด็กๆ อย่างพวกเรา
โดยเฉพาะเมื่อเดือนเมษาฯ มาถึง
พวกในกรุงเทพฯ ก็จะกลับมาเที่ยวบ้านนอกกัน
และที่ที่พวกเราจะพาเด็กกรุงไปเที่ยวนั้น
ที่ไหนจะเหมาะเท่าการพากันไปเล่นน้ำ
โดยเฉพาะที่ ....ท่าวังผา!?
ปีนี้ก็เหมือนทุกปี
ที่พวกเราคอยหลบพวกผู้ใหญ่ ออกไปเล่นนอกบ้าน
เมื่อเล่นจนร้อนได้ที่แล้ว พวกเราก็ตกลงที่จะไปเล่นน้ำกันเหมือนเช่นเคย
ไอ้กิต ที่พึ่งมาจากกรุงเทพฯ เหมือนกับหลายๆ คน
เล่าเรื่องผีเงือกที่ยายมันเล่าให้ฟัง
คนที่ไม่เคยฟังเรื่องนี้พากันตื่นเต้น และรู้สึกกลัวที่จะเล่นน้ำ
แต่พวกเราที่ฟังกันจนชินแล้วก็หัวเราะ
พร้อมกับเยาะเย้ยว่า
ถ้าไม่กล้าก็ไม่ต้องลงเล่น นั่งดูพวกเราเล่นไปก็แล้วกัน
ในตอนแรกมีหลายคนเหมือนกันที่อาสา นั่งดูเฉยๆ
แต่ในทีสุดก็อดใจไม่ไหว
เมื่อเห็นเพื่อนเล่นกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะกันเจี๊ยวจ๊าว เต็มท้องน้ำไปหมด
ความน่ากลัวค่อยๆ หายไปจากพวกเราทุกคน
เมื่อคนมากคน และความสนุกเข้ามาแทนที่
พวกเราเล่นน้ำกันตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งเย็น
จนเหนื่อยล้ากันทุกคนเพราะการเล่นน้ำ
พากันทยอยกลับขึ้นฝั่งเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน...
จู่ๆ ..!
ไอ้มุก็ร้องเสียงหลง
พอพวกเราหันไปมองมัน ซึ่งยังอยู่ในน้ำ เป็นคนรั้งท้าย
ถูกดึงลงน้ำไป มองดูราวกับ ทุ่นเบ็ดที่ถูกปลาลากจมลงไปในน้ำ
ไอ้มุร้องตะโกนเสียงหลง และค่อยๆ จมน้ำไป
พวกเรา รีบกระโดดลงไปช่วยทันที
คิดว่ามันเป็นตะคริว หรืออาจหมดแรงจะจมน้ำ
เด็กนับสิบคนพากันลากไอ้มุขึ้นมา
แต่.. ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ
แม้พวกผมจะเล่นน้ำกันมาจนเพลียไปตามๆ กัน
แต่คนมากขนาดนี้กลับดึงไอ้มุขึ้นมาจากน้ำไม่ได้
หนำซ้ำคนช่วยจะพลอยถูกดึงลงไปด้วย
พวกเราต้องอาศัยยืนอยู่บนฝั่งน้ำแล้วเหยียดแขนดึงมือต่อๆ กัน
เพื่อลากทุกคนที่อยู่ในน้ำขึ้นมา
แม้จะยังเด็กเพียงใด
ผมก็ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี
แรงมีเท่าไรพวกเราก็ใช้ออกแรงลากกันขึ้นมาทั้งหมด
แต่เหมือนกับต้องลากตอไม้ใหญ่ๆ ขึ้นมาจากน้ำ ทั้งๆ ที่ไอ้มุ ก็ตัวไม่ใหญ่โตนัก ตัวเล็กกว่าผมมากเสียอีก
แต่กลับหนักจนลากแทบไม่ไหว
หลังจากพยายามกันอยู่นานจนแทบหมดแรง...
ในที่สุด..
พวกเราก็พ้นน้ำขึ้นมากันได้ทุกคน
ต่างคนต่างนอนแผ่นอนหงาย หายใจหอบกันยกใหญ่ อยู่บนผืนทรายเหนือน้ำ
แล้วพากันหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ
แซวกันไปแซวกันมาว่าใครบ้างที่แทบแย่ใครบ้างหมดแรงก่อน
ยกเว้นไอ้มุ
ซึ่งหน้าซีดหน้าเซียว..
เพื่อนๆ ต่างก็ล้อกันใหญ่ว่า เกือบตายแล้วสิมึง !
แต่ไอ้มุ ปากคอสั่นบอกกับทุกคนว่า
เหมือนใครไม่รู้มาจับขามันไว้แล้วดึงมันลงไป
เพื่อนๆ ต่างก็หัวเราะแล้วว่า
มันกลัวจนคิดมากไปเอง
บ้างก็ว่ามันขี้โม้ กลัวตายละไม่ว่า
แต่สำหรับผมแล้ว
ผมยังอดแปลกใจกับอาการจมน้ำของมันไม่ได้
อย่างที่บอก
มันราวกับถูกใครลากลงไปจริงๆ..
แต่เมื่อไอ้สิน มองไปที่ขาของไอ้มุ ก็ร้องว่า
" ไอ้นี่ไงที่ลากไอ้มุ มันลงไป "
ว่าแล้วมันก็ขยุ้มเอาสาหร่ายสีเขียวปนดำกอใหญ่ ที่ติดอยู่ที่ขาไอ้มุขึ้นมาแล้วก็หัวเราะ
เพื่อนๆ ก็หัวเราะตาม
ไอ้มุ ยังไม่ละความพยายาม
มันบอกว่าที่ดึงมันลงไปน่ะ เหมือนมือคนมากกว่าที่จะเป็นสาหร่ายจริงๆ
ทุกคนก็หัวเราะกันอีก
แต่ก็พากันชวนกันให้รีบถอยห่างขึ้นมาจากน้ำทันที
เพราะแม้จะทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแต่ทุกคนก็เห็นอาการผิดปกติตอนที่ไอ้มุ ถูกดึงตัวลงไปต่อหน้าต่อตากันอยู่แล้ว
แต่เพื่อไม่ให้ตื่นกลัวกันมากจึงพากันหัวเราะกลบเกลื่อนเสียเท่านั้น
แต่ไอ้มุ ยังไม่วายไม่หายหน้าซีด แล้วพวกเราทุกคนก็ตกลงกันว่าสำหรับเรื่องนี้เราจะไม่บอกใคร...
ไอ้มุ ไม่สบายไข้ขึ้นสูง ละเมอพูดจาไม่รู้เรื่อง
พวกผู้ใหญ่พากันพามันไปที่สถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน หมอตรวจแล้วก็ให้พามันไปส่งที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
ดูเหมือนอาการมันจะแย่มาก
พวกเราก็เป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ได้แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้ใหญ่เค้าจัดการกัน!
จากโรงพยาบาล ได้ยินจากพวกผู้ใหญ่มาว่า
ไอ้มุละเมอร้องให้
แต่...!
เป็นเสียงร้องของผู้หญิง
พวกเราถึงกับขนลุกซู่ มองหน้ากันเลิกลัก ราวกับจะถามกันว่าเอาไงดี
แต่ในที่สุด พวกเราก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ไอ้มุ เกือบจมน้ำให้ใครฟังอยู่ดี
อีก 2 วันต่อมา..
พวกเราหลายคนก็มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมไอ้มุ ที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด
พอเข้าไปในห้อง และไอ้มุ เห็นเราเท่านั้น!
มันก็สปริงตัวผ่างขึ้นมาจากที่นอนที่นอนอยู่!!
แล้วก็ชี้หน้ากราดมายังพวกเราทุกคนอย่างเกรี้ยวกราด!?
พร้อมกับสิ่งที่พวกเรา รวมถึงทุกคนที่อยู่ในนั้นแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
" พวกมึงลบหลู่กู กูจะเอาพวกมึงไปอยู่ด้วย "
ชี้เข้าหาตัวไอ้มุ
" โดยเฉพาะไอ้นี่ มันฉี่ใส่หัวกู แล้วยังฉี่ใส่ในน้ำที่กูอยู่อีกด้วย "
พวกเราถึงกับตัวแข็งทื่อ
เสียงนั้นมาจากไอ้มุ แน่ๆ
แต่...
เป็นเสียงใครก็ไม่รู้
รู้แต่ว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิง!!
เมื่อตั้งตัวได้ และหายจากการตื่นตะลึง
พวกผู้ใหญ่ก็พากันจับแขนจับขาไอ้มุ ซึ่งตอนนี้กำลังดิ้นอย่างหนัก
ให้นอนลงเป็นการใหญ่ แล้วพากันลูบหัวลูบตัวปลอบโยนว่าให้ใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้
และแล้วพวกเราก็ถูกกันตัวออกจากห้องไปในที่สุด จนเราไม่รู้เรื่องราวในห้องอีก
เมื่อออกมาข้างนอกพวกเราก็ถูกซักกันใหญ่ว่าเกิดอะไรกันขึ้น
ในที่สุด!
พวกเราก็เล่าเรื่องที่พากันไปเล่นน้ำที่ท่าวังผาให้พวกผู้ใหญ่ฟัง
แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ไอ้มุ ถูกลากลงน้ำไป
พวกผู้ใหญ่บางคนก็ทำสีหน้ายุ่งยาก แล้วบอกว่า
บอกแล้วว่า ไม่ให้ไปเล่นน้ำที่นั้น ห้ามก็ไม่ฟังกันบ้างเลยเด็กพวกนี้
แต่พวกเราก็ไม่ได้ถูกว่าอะไรมากนักเนื่องจากว่ายังมีเรื่องไอ้มุ ให้พวกผู้ใหญ่เค้ายุ่งๆ กันอยู่อีก
ในที่สุด
พวกผู้ใหญ่ก็พากันไปทำพิธีขอขมาแม่น้ำ
มีการถางหญ้าจนพวกเราสังเกตเห็นว่าที่วังผามีศาลเพียงตาอยู่ด้วย
พวกผู้ใหญ่พากันไปทำพิธีที่นั้น
พวกเราก็พากันไปสังเกตดูอยู่ด้วยห่างๆ
หลังจากนั้น
อาการของไอ้มุ ก็ดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด
แต่ตอนแรกๆ มันไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเลย
แต่ต่อๆ มาก็กลับร่าเริงได้เป็นปกติ
โดยเมื่อพวกเราถามถึงเรื่องที่มันไปอยู่โรงพยาบาล
ไอ้มุกลับจำเรื่องอะไรไม่ได้เลย!?
พวกผู้ใหญ่เล่าว่า
ผู้หญิงที่สิงไอ้มุ
บอกว่าพวกเราไปเล่นน้ำก่อความรำคาญให้กับเธอ
แล้วยังฉี่ลงน้ำกันอีกด้วย
โดยเฉพาะไอ้มุ มันไปฉี่รดที่หน้าศาลเพียงตาของเธอ เลยเจอดีเข้า!!!
แล้วเราก็ถูกพวกผู้ใหญ่ตักเตือนไม่ให้ไปเล่นน้ำที่นั่นอีก
ดังนั้นเรื่องของพวกเราที่คุ้งน้ำนั้นจึงน่าจะจบลงแค่นี้ !!
ถึงอย่างไรก็ตาม!
เป็นความจริงที่ว่า..
ที่นั่น!!
จะมีคนตาย 1-2 คน อยู่เสมอทุกปี!!!
แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ไปเล่นน้ำที่นั่นอีกเลยนับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
ก็ยังคงมีคนตายที่นั่นอีกอยู่ดี..
จนกระทั่งฤดูน้ำหลากปีหนึ่ง..!
เรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิดก็เกิดขึ้นกับท่าวังผาแห่งนั้นอีกครั้ง
กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก กัดเซาะเอาหินใหญ่แห่งท่าวังผาถล่มลงมา ถมท้องน้ำอันเย็นยะเยือกแห่งนั้น
อันเป็นการปิดฉาก เวิ้งน้ำที่กว้างที่สุด ลึกที่สุดของแควน้ำนี้
ให้หายไปพร้อมกับกระแสน้ำ
กองหินและดินที่ถล่มลงมาทำให้ท่าวังผา
ไม่อาจรักษาตำแหน่ง เวิ้งน้ำที่กว้างที่สุด และลึกที่สุดเอาไว้ได้อีก
รวมถึงปิดฉากเรื่องราวอันน่าขนลุกของตำนานผีเงือก
และสถานที่ที่ก่อให้มีคนตายตลอดมาของท่าวังผา
ให้หายไปกับกาลเวลาและสายน้ำ...!
แต่..ก็ไม่อาจลบหายไปจากความทรงจำของพวกเราได้เลย!
แม้..!! จะมีเรื่องให้ประหลาดใจมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้!?
ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า..
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ. ที่แห่งนี้ เป็นฝีมือของใคร?
ผีเงือก หรือพรายน้ำ หรือไม่ ?
ยังคงมีความคลางแคลงใจด้วยว่า..
ผมไม่ได้เห็นตัวจริงของผีเงือก กับตาของผมเอง !
แม้จะพบด้วยตัวเองว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่คุ้งน้ำแห่งนี้ !?
แต่ก็ยังไม่อาจนำมาเป็นข้อสรุปได้..
ตัวผมเองได้แต่หวังว่าจะมีผู้ประสบพบเห็นเรื่องทำนองนี้!!
แล้วมาแบ่งปันกันบ้างว่า..
เรื่องนี้มีมูลมากน้อยเพียงใด..!?
แล้วคุณละมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ?
ปัฐพี คเวสกรณ์
ที่หมูบ้าน หนองตานวล(หนองสีนวล) ตาคลี นครสวรรค์ แม่เน็คเคยเห็น คนหัวดำๆ เล่นน้ำในสระ แต่อหยุดรอให้คนโผล่หัวมา ผ่านไป สิบนาที ก็ยังไม่มีใครโผล่มา แม่เน็คมั่นใจว่า เป็นหัวคนจริงๆ แต่เขาไม่โผล่ขึ้นมาจากสระเลย
ReplyDelete