mybloglog

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา

เรื่องนี้ ผีมีปัญหา
อยู่ระหว่างหนีเที่ยว

Search This Blog

Pages

Tuesday, May 25, 2010

เด็กคนนั้น

ขณะที่..
ผมพยายามฝืนลืมตาอย่างยากเย็น
ทุกส่วนของร่างกายราวกับแข็งทื่อไปจนหมด
ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะร้องเรียก พวกเพื่อนๆ ที่นอนอยู่ข้างๆ..

เธอคนนั้น!
หันมายิ้มเย็นๆ ให้กับผม
คุณพระช่วย! เธอ..ไม่มีหน้า..!
แต่ถ้าหากจะพูดให้ถูกคือ มีแต่โครงหน้า
ส่วน ตา ปาก จมูก ของเธอ
ผมกลับมองไม่เห็นจากใบหน้านั้น!

จากทางปลายเท้าที่ผมกำลังนอน
เธอลุกขึ้นจากท่าที่นั่งทับอยู่บนขาทั้งสองข้างของผม

ทันใดนั้นเอง..!
ผมก็ทะลึ่งลุกพรวดขึ้นอย่างสุดตัว!

เพื่อนๆ สะลึม สะลือ ตื่นอย่างงงงัน !!??

แต่..! เธอคนนั้น ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว...
พ.ศ. 2539 ...
ถนนหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ยังคงคึกคัก คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แทบไม่แตกต่างจากยุคสมัยนี้
เพียงแต่..
ตอนนี้ ผู้คนออกจะมากหน้าหนาตามากขึ้นทุกทีๆ
และหอพักเอง ก็แย่งกันผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
ขณะนั้น
พวกผมและเพื่อนอีก 3 คน ได้รวมตัวเช่าหอพักอยู่ด้วยกัน
เพื่อเป็นการประหยัดค่าห้อง
แม้.. แต่เดิมพวกเราจะไม่ค่อยสนิทกันนัก เพราะอยู่คนละกลุ่ม
แต่ก็ถือว่าสนิทกันพอประมาณทีเดียว
เพราะสมัยมัฐยมปลาย พวกเราต่างก็อยู่ห้องเดียวกันนั่นเอง
ผมและเพื่อนๆ ได้มาเรียนกันอยู่ที่ ม.รามคำแหง เหมือนๆ กัน
ต่างกันตรงที่
มีผมคนเดียวที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
ส่วนคนอื่นๆ นั้น
เค้าตั้งใจมาเพื่อเรียนกันอย่างเดียว
หลังจากอกหักจากการสอบโควต้า เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่หวังเอาไว้ ผมเองก็ไม่มีกะจิตกะใจ Entrance ซักเท่าไรนัก
( ปัจจุบันระบบ Entrance ไม่มีแล้ว แต่เป็น O-net, A-net อะไรประมาณนั้นแทน )

ผมเลยตั้งใจจะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ มากกว่า
แบบว่ามันเบื่อบ้านนอกเต็มทีแล้วน่ะครับ
ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย น่าจะดี
อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นในตอนนั้น

ไม่มีที่ไหนดีเท่ารามคำแหงอีกแล้ว
สำหรับคนอย่างผม

ทำงานได้เต็มที่
ไม่ต้องไปเรียน อ่านหนังสือแล้วไปสอบเอาอย่างเดียว
อาจจะเป็นความคิดที่ตื้นเขินไปสักหน่อย

เพราะชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
และ.. การจบรามฯ ยิ่งยากกว่ามาก
ถ้าไม่ขยันเรียนจริงๆ จบยากมากครับ

ผมซึ้งในเรื่องนี้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี
ตั้งแต่หลังจากเรียนรามได้แค่เพียงเทอมเดียวเท่านั้น
( ใครคิดดูถูก ม.รามฯ ระวังจะเหมือนผมในตอนนั้นนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน เหอๆ )

สำหรับบางคน ชีวิตในช่วงมหาลัยนั้น
เป็นช่วงชีวิตที่ขอเงินทางบ้านง่ายที่สุดแล้ว
ซึ่งมันก็จริง..
แต่สำหรับผม...
ผมกลับ อยากทำงานเร็วๆ เพราะไม่อยากขอเงินใครใช้
แม้บางคนอาจหัวเราะเยาะที่ผมคิดง่ายๆ
ว่าจะหาเงินเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใครเลย
แต่นี่ก็เป็นความตั้งใจของผม
ก็ถ้าหาเงินเลี้ยงตัวเองได้น่ะ มันเท่จะตายในความคิดผม
ด้วยเหตุข้างต้น
ผมจึงร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน
เช่าห้องพักรวมกัน อยู่ในซอยหนึ่ง หลัง ม.รามฯ

ซอยที่เราอยู่ แม้จะไม่เปลี่ยวมากนัก แต่เราก็อยู่กันสุดซอยเลยทีเดียว
( ปัจจุบันนี้ มีการถมที่ทำซอยต่อเข้าไปอีก และมีหอพักผุดขึ้นอีกเพียบ )
เงียบ สงบ บรรยากาศ แบบที่ผมชอบเลยทีเดียว

ห้องก็ไม่เล็ก จริงๆ แล้วต้องบอกว่า ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
แต่เมื่ออยู่กันถึง 4 คน ก็ดูแคบไปถนัดตา
ผมนอนบนเตียง นอนเร็ว ตื่นเช้า ไปทำงาน
ส่วนเพื่อนอีก 2 คน
ตอนเช้าถึงจะกลับถึงห้อง กลางคืนหายจ้อย
เข้าใจว่าไปรวมตัวกับห้องอื่นๆ ในหอ เล่นไพ่กันตลอด
เจริญดีจริงๆ เพื่อนผม
ส่วนอีกคนจะกลับมานอนดึกๆ หน่อย เพราะต้องหาเวลาไปหาหญิง
( วันหลังผมจะบีบคอให้มันเขียนหนังสือ เรื่อง "เรียนมหา'ลัย ไงให้ได้แฟน" เพราะไอ้หมอนี่น่ะ มันใช้ผู้หญิง โ ค ตะ ระ เปลืองจริงๆ ที่สวยๆ ก็เยอะ ไม่สวยก็แยะ ไม่น้อยเหมือนกัน นินทามันนิดหน่อย คิคิ )
หอพักของพวกผมค่อนข้างหรู เพราะพวกเราส่วนใหญ่ติดหรู
แม้รายได้ต่ำก็ไม่ว่ากัน
ในห้องมีครบทั้งเตียง โต๊ะ เก้าอี้ แม้แต่แอร์ รวมถึงพัดลมด้วย
บรรยากาศรอบๆ ขอบอกว่ามันดูไม่เปลี่ยวเลยสักนิด
และไม่น่ามีอะไรเกี่ยวกับผีเลยจริงๆ
โดยเฉพาะ
หอที่ผมอยู่นี้ เป็นหอค่อนข้างใหม่
หรือเรียกได้ว่าใหม่ที่สุดในละแวกนั้น
( ทั้งนี้ ทั้งนั้น ผมขออนุญาต ไม่เอ่ยชื่อหอ และชื่อซอยนะครับ เพื่อแสดงความเคารพความเป็นส่วนบุคคล )

แต่แล้ว..
เหตุการณ์ไม่คาดคิดคาดฝันก็เกิดขึ้นกับตัวผม..!

ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเรื่องผีอำ
เพราะคิดว่ามันมีคำตอบทางวิทยาศาตร์ ที่ว่า..
ระบบประสาทเราทำงานผิดปกติ
อย่างเรื่องของการทับเส้น
และคงเหมือนๆ กันกับที่แขนเราชา ขาเราเป็นตะคริว อะไรประมาณนั้น

ก่อนหน้านี้..
ถ้ามีใครเล่าเรื่องผีอำให้ผมฟัง
ผมก็คงได้แต่หัวเราะ หึหึ! เท่านั้น!!
และคงไม่ขอออกความคิดเห็น ใดๆ

แม้หลายคนจะบอกว่า
ที่เค้าเจอน่ะ...
จะมีคนมาจับมานั่งทับที่ปลายเท้าของเขาอีกด้วยนะ
แต่ผมก็ยังคงคิดว่าเป็นอุปาทานของเขาเองมากกว่า... อยู่ดี
จนกระทั่ง.. วันหนึ่ง !
วันนั้น !!
วันที่ผมต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
วันที่ผมคงต้องจดจำไปจนตาย...!!!

ผมขยับตัวไม่ได้!
แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองได้ตื่นขึ้นแล้ว
และมองเห็นทุกอย่างรอบๆ ตัว
เท่าที่สายตาอันริบหรี่ และหนังตาอันหนักอึ้ง
จะสามารถกวาดตามองเห็นได้
ผมมองเห็นเพื่อนๆ ทั้ง 3 คน ยังนอนอยู่ข้างๆ เตียง
ที่นอกห้อง
เริ่มมีคนเดินผ่านไปมา เพราะเป็นเวลาจวนจะเช้าอยู่แล้ว
แต่..!
ผมกลับขยับตัวไม่ได้ !
ขยับไม่ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว
เสียงใดๆ ก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านลำคออันแห้งผากนั้นได้!

และผู้หญิงคนนั้น.. !
เธอกำลังนั่งทับอยู่ที่ขาของผม
ชุดเธอขาวไปทั้งตัว ตัดกับสีผมที่ดำสลวย
คลุมยาวจากบ่าไปจนทั่วทั้งแผ่นหลัง ระเรี่ยไล่ไปจนถึงเอวเลยทีเดียว

"ผมคิดว่าเธอกำลังยิ้มให้"

แต่..!
คุณพระช่วย !!

ใบหน้าของเธอ..
หน้าของเธอกลับไม่มี...
ไม่มีอะไรเลยในโครงหน้านั้น!!!
ไม่ว่าจะเป็น คิ้ว ตา จมูก ปาก
ผมมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นในใบหน้าของเธอเลย
เวลามันจะเนิ่นนานที่ผ่านไป กี่ชั่วโมงนาที ผมไม่อาจรู้ได้
แต่ผมรู้สึกราวกับว่า
ทุกอย่างมันเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ
พร้อมกับโลก ที่ลดจังหวะการหมุนรอบตัวเองลง

ขณะที่ผมตะลึงพลึงเผลิดอยู่นั้น !!

เธอ..!
ก็ได้ลุกขึ้นจากท่าที่นั่งทับขาของผม
และออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ไม่มีแม้แต่เสียงที่เปิดประตูออกไป

ผมทะลึ่ง ดีดตัว ลุกพรวดพราดขึ้นสุดตัว !!

ลืมตาตื่นขึ้นได้เต็มตา...

พร้อมกับ..
พวกเพื่อนๆ ที่งัวเงีย ตื่นขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผม??

และคงเพราะด้วยแต่ละคนพึ่งได้เข้านอน
ทำให้เพื่อนๆ ผม ล้มตัวลงนอนต่อ พร้อมกับพึมพำคำพูดไม่ได้ศัพท์
แต่เข้าใจว่าคงต่อว่าที่ผมรบกวนปลุกเขาขึ้นมาแต่เช้า

ผมยังคงตัวแข็งเป็นท่อนไม้
แม้จะขยับตัวได้ทั่วทุกองคาพยับแล้วก็ตาม
เหงื่อเม็ดเป้งๆ ผุดออกมาตามตัวมากมาย
แม้อากาศในห้องจะฉ่ำเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
แต่ผมกลับรู้สึกตัวร้อนราวกับจะเป็นไข้
หลายวันต่อมา..
แล้ววันหยุดอันหาได้ยากเต็มทีของผมก็มาถึง
ผมได้เรียกเพื่อนๆ ทุกคนเข้ามาคุย มาเล่าเรื่องในวันนั้น ให้พวกมันฟัง
ไอ้ตัวแฟนเยอะ หัวเราะ แล้วบอกว่าเหลวไหล มันว่าผมน่ะคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ
แต่เพื่อนอีก 2 คน ถึงกับหน้าซีด
มันเล่าให้ฟังว่า..
ที่หอนี้น่ะ มันรู้จักคนแทบทุกห้อง
( ซึ่งคงจะจริง เห็นมันออกห้องโน้น เข้าห้องนี้ อย่างกับห้องของตัวเอง )

มันบอกว่า... ไม่ใช่แต่ผมที่โดน
หลายๆ คนในหอนี้ ก็เคยเจอมาแล้ว และเจอเหมือนกันกับที่ผมเจอแทบทุกอย่าง
ดังนั้น...
ด้วยความช่วยเหลือของสองเพื่อนขาไพ่ของผม
ทำให้ผมมีโอกาสได้คุย กับคนที่เคยเจอเหตุการณ์ เหมือนๆ กับผม
ซึ่งส่วนใหญ่ เหตุการณ์ที่ถูกเล่ามักตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งๆ ที่บางคน ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเสียด้วยซ้ำ

หลังจากวันนั้น
ก็มีข่าวลือว่า
ขณะก่อสร้าง มีลูกสาวคนงานก่อสร้างเสียชีวิตที่นี่
แต่ผมกลับไม่ปักใจเชื่อนัก
เพราะเธอที่ผมเจอ
ดูสวย และดูดี เกินกว่าจะเป็นลูกสาวคนงานก่อสร้างมากนัก

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อันเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของมนุษย์
ทำให้ผมพยายามสืบหา ต้นตอเรื่องต่างๆ ด้วยตัวผมเอง..

ผมตีซี้ กับทั้ง รปภ. แม่บ้าน คนดูแลหอ และร้านค้าที่อยู่แถบนั้น
ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะนอกจากคารมแล้วผมยังหน้าตาดีอีกต่างหาก
นี่ยังไม่รวมถึงบุคลิก ที่ชวนให้ใครๆ หลงใหล เชื่อถือ
( เอาน่า..อย่าพึ่งอ้วกนะ ขอชมตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดีน่า )

แต่กลับไม่มีข่าวการตายของลูกสาวคนงานก่อสร้างเลย

ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องเล่ากันขึ้นมาเอง
หลังจากมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากกว่า

นอกจากนั้น
ยังไม่มีข่าวว่ามีผู้หญิงสาวลักษณะนี้เสียชีวิตในแถบนั้นเลย
และนอกจากคนในหอพักแล้ว
ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนอื่นๆ เคยเจอเธอเลยเช่นกัน

นี่จึงเป็นคำตอบที่น่าประหลาดใจมากสำหรับผม

ครับ..ไม่มีใครรู้เรื่องของเธอเลย
นอกจากคนในหอที่เจอเท่านั้น..

แล้ว..ถ้าอย่างนั้นเธอคนนั้นเป็นใคร?
มาปรากฏตัวที่หอนี้ได้อย่างไร?
แล้วทำไมต้องมาแกล้งอำพวกเราเล่นด้วย ?
หลังจากนั้นไม่นานนัก
ผมก็ย้ายหอพักไปอยู่คนเดียว
แม้ว่ามันจะเสียค่าเช่าแพงขึ้นบ้างก็ตาม
แต่ผมก็ถือว่าคุ้ม
เพราะผมคิดว่ามันมีอิสระและเป็นส่วนตัวมากกว่า
นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิตที่ผมถูกผีอำ

และในเรื่องนี้
ผมก็ยังคงไม่สามารถหาคำตอบ หรือคำอธิบายใดๆ
อันควรค่าแก่การเข้าใจ และรับฟังได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเช่นเคย...

ผมจึงเขียนเรื่องนี้ มาเล่าให้คุณๆ ทุกๆ คนได้ฟัง
เผื่อจะมีบ้าง สักเสียง สักคน ที่ให้คำตอบ ที่น่าพอใจแก่สังคม และผมได้

แล้วคุณละ...!?
ที่ปลายเท้าคุณคืนนี้...
มีคนห่มผ้าให้หรือยัง? ....ระวังล่ะ !!!




ปัฐพี คเวสกรณ์

No comments:

Post a Comment