บางเรื่องเล่าสนุก
บางเรื่องสนุกเมื่อเป็นเรื่องเล่า
ส่วนบางเรื่อง..
เราก็อยากให้เป็นแค่ เรื่องเล่า ..สนุกๆ
ผมชื่อปัฐ... หรือปัฐพี ถ้าคุณอยากรู้มันเต็มๆ
แต่นี่ไม่ใช่ชื่อจริงของผมหรอกนะ
และผมคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องบอกชื่อจริงให้คุณรู้หรอกนะ
เชื่อว่า คุณเองก็คงไม่อยากจะรู้สักเท่าไรนัก และถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ละก็..
ผมก็เชื่อว่าคุณคงตามหาเองได้ไม่ยากนัก
เนตน่ะ มีวิธีการของมัน
ถ้าคุณใช้เนตเป็นไม่ใช่แค่เล่นเนตได้น่ะนะ..
แต่นี่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากเล่า !
เรื่องของเรื่องก็คือ คนบางคนกลัวผี
ทั้งๆ ที่ไม่เชื่อเรืองผี
ส่วนผมไม่กลัวผี แต่.. เชื่อเรื่องผี !!
" แล้วคุณล่ะ? "
รึจะเหมือนกับคนอื่นๆ
ที่เชื่อครึ่ง แล้วเผื่อไว้อีกครึ่งไม่ไห้ใครๆ หาว่างมงายน่ะ
ใช่มะ? ดีนะ..! ผมก็ว่าดี แต่... ผมก็ยังเชื่อเรื่องผีอยู่ดี!!
ทำไมน่ะรึ ?
"เพราะผมเคยเจอน่ะสิครับ..!"
เจอกับตัวเองนี่ล่ะ..!!
ไม่เชื่อไม่ว่ากันนะ..
อย่างที่บอก! เผื่อใจไว้บางก็ดี!!
การเชื่อคนง่าย เป็นเรื่องที่โง่!!!
แม้บางเรื่องการไม่เชื่ออาจโง่กว่า ..แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ !?
ผมไม่ได้คิดจะทำให้คุณเชื่อเรื่องผี แค่..
อยากหาคนมาช่วยยืนยันในเรื่องนี้ว่า ผมก็แค่คิดไปเองเท่านั้น
และ..ผีไม่มีในโลก !
หรือ อย่างน้อยก็มาช่วยผมยืนยันทีว่ามันมีจริง !!
และ ผมไม่ได้คิดไปเอง เผื่อหลายหัวจะดีกว่าหัวเดียวน่ะ !!!
นี่ผมคงไม่ได้ยุให้สังคมแตกแยกเพราะคนเราเห็นไม่ตรงกันหรอกนะ?
อย่างที่บอก..
ผมเชื่อ เพราะเคยประสบพบเห็นมาด้วยตัวเอง
ในหลายครั้งหลายหน จนทำให้เลือกที่จะเชื่อ นั่นแหละ!
เพียงแต่..
มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่าง ที่รบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก
นั่นก็คือ..! ผมไม่เคยเห็นแบบจริงๆ จังๆ แบบว่า.. ตัวเป็นๆ เลยสักทีสิน่า
ส่วนใหญ่ก็มาแนวนี้นี่ละ แนวไหนน่ะรึ?
แหม.. ผมก็กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไงละ ..อะไรนะ!?
ผมเกริ่นนานเกินไปงั้นรึ! ...โทษทีๆ!!
เอ่อ...! เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ!?
เอาเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่กรุงเทพ.. ใช่ๆ เริ่มจากตรงนี้ละกัน
ใช่.. ผมเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่มาได้หลายปีแล้วล่ะ
แต่ก็นั่นละนะ จริงๆ แล้ว มันก็หมายถึงผมไม่ใช่คนกรุงแท้ๆน่ะสิ
ผมย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงหลายปีแล้วละ
แต่ เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดที่บ้านเกิดของผม
บ้านนอกคอกนาน่าดู แต่ก็สงบสุขมากๆ
มันเป็นเมืองที่เงียบ! เงียบ ซะจนอยากหนีเข้ามาอยู่ในกรุงใจแทบขาด
แต่ถึงกระนั้น พอเข้ามาอยู่ในกรุงเทพๆ จริงๆ ก็คิดถึงน่าดู
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนผมยังอยู่มัธยม..
มัธยมปลายปีแรก ก็ ม.4 นั้นแหละ
ปีนี้เป็นปีสำคัญมากสำหรับผม
ทำไมน่ะรึ?
ก้อแหม!!..อ่ะแหะๆ
ตอนอยู่ ม.ต้นน่ะ ผมอยู่โรงเรียนชายล้วนนี่
พอขึ้น ม.ปลาย เป็นโรงเรียนสหศึกษา
แหม! ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้น
เนี่ยผมอ่ะนะ กะว่าจะหาแฟนสักคนน่ารักๆ อยู่ติวกันตั้งกะเช้าจรดเย็น
จะได้Ent...เข้ามหาลัยดีๆ ได้
แต่คุณเชื่อมะ ?
หามาจนพ้น 3 ปี ก็ยังไม่มีแฟนกะเค้าสักคน เฮ้อ!!!
อ้อ..! เดี๋ยวนี้เค้าไม่มีEnt...แล้วสินะเป็นระบบใหม่แล้วนี่
ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ช่างเถอะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นี่
อะไรนะ? ผมออกนอกเรื่องอีกแล้วรึ
ไม่.. ม่ายหรอก ก็นี่ละกำลังเข้าเรื่องอยู่แล้ว
ทำไมน่ะรึ ก็.. เรื่องมันเกิดตอนช่วงนี้พอดีน่ะสิ
ช่วงที่ผมเข้า ม.4 ใหม่ๆ นี่ละ
ก่อนวันไหว้ครู หนึ่งวัน
พวกเราได้ไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อทำพานไหว้ครู
พวกเราต่างตื่นเต้นตื่นตัวกันสุดๆ
อ่า..!
ก็นี่มันเป็นการเจอกันนอกโรงเรียนเป็นครั้งแรก ของเหล่าหนุ่มสาว ม.ปลายนี่
แถมคืนนี้พวกเราตกลงกันว่า จะนอนกันที่บ้านเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
เพื่อเก็บงานให้เสร็จเรียบร้อยที่สุด..
สภาพหมู่บ้านของเพื่อนคนนี้
ก็ธรรมดาของหมู่บ้านในชนบทที่เห็นกันทั่วไปนั่นละครับ
ชาวบ้านอัธยาศัยดีมากๆ
และด้วยความที่พ่อของเธอเองก็เป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย
ทำให้ตอนเย็น จึงมักจะมีชาวบ้านมารวมตัวกัน
ที่บ้านเพื่อนผมคนนี้เสมอๆ
เพื่อพูดคุยทักทายกันตามประสาคนบ้านนอก
ตัวหมู่บ้านแยกห่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ราวๆ 2-3 กิโลเมตร
ด้วยถนนสายเล็กๆ
รอบด้านของถนน ก็เป็นป่าละเมาะที่เห็นได้ทั่วไป
มันครึ้มและเย็น
แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวเลย สำหรับลูกบ้านนอกอย่างเรา
มีโรงเรียน มีวัด มีหิน ดิน ทราย หมู หมา กา ไก่
(แล้วจะบอกทำไม(วะ)เนี่ย?)
เอาเป็นว่า
มันก็เหมือนหมู่บ้านในบ้านนอกทั่วไปนั่นแหละ !!!
ส่วนที่น่าสนใจเห็นจะเป็นป่าช้า!!
ไม่ใช่ว่าหมู่บ้านอื่นไม่มีป่าช้า!!!
แต่.. ป่าช้าของที่นี่
มันเป็นสิ่งแรกที่เราได้พบเห็น เมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้านมา
หรือเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราจะได้พบพาน เมื่อจะผ่านจากหมู่บ้านนี้ไป
ฌาปณะสถานแห่งนั้น..
มันตั้งตระหง่าน อยู่ตรงกันข้ามกันกับ โรงเรียนของหมู่บ้าน
แต่ที่สะดุดใจผมตั้งแต่แรกเห็นนั้น.. นั่นคือ!!!
"มัน" !?
ตั้งตระหง่าน อยู่ตรงส่วนโค้งของ"ถนนยางมะตอย"
แต่.. ทางเข้าป่าช้ากลับเป็น"ถนนดินลูกรัง"
ตอนกลางวันยังพอเห็นชัด
แต่พอตกกลางคืน....
ถนนยางมะตอยจะถูกกลืนหายเข้าไปกับความมืด
ทำให้ถนนลูกรังเด่นชัดขึ้นมาในสายตาทันที ...ราวกับ
มันกำลังเชิญชวนว่า
"ฌาปณกิจสถานแห่งนี้ยินดีต้อนรับ"
ยังไงยังงั้น !!
แม้ครั้งแรกที่เห็น "ที่นั่น"
จะเป็นเวลาที่
พระอาทิตย์ยังส่งแสงอบอุ่น ให้เราทุกคนอย่างอ่อนโยน
เยี่ยงยามย่ำค่ำของฤดูร้อนในตอนเย็น
แต่ขนของผมกลับลุกชูชันเป็นเกลียว ขึ้นอย่างกะทันหัน
มันโชนชันเสียจน ชวนให้ตระครั่นตระครอตัวอย่างที่บอกไม่ถูก
เหมือนกำลังจะจับไข้ซะให้ได้ยังไงยังงั้น.
แต่..
เพียงชั่วครู่เดี๋ยวเดียวความรู้สึกนั้นก็หายไป
ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ผมคงจะรู้สึกไปเอง
ใช่ ! ผมน่าจะแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น..
เหมือนกับครั้งอื่นๆ
อีกหลายครา
ที่ผมมักปลอบใจตัวเองเสมอว่า
"ผม-แค่-คิด-ไป-เอง"
ทั้งๆ ที่ ความรู้สึกมันเตือนอย่างรุนแรงว่า..
ไม่ใช่ !!
นี่ไม่ใช่การคิดไปเองแน่ๆ
มันเคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนแล้ว
และ..
มักจะมา พร้อมๆ กับเหตุการณ์เขย่าขวัญ
ที่ทำให้ผมไม่สามารถลืมได้ลงทุกครั้งไป
ช่างเถอะ!
ตราบเท่าที่มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมากนัก
แค่ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นก็พอ ผมคิดเช่นนั้น
และผมมักจะทำเช่นนั้นเสมอ...
เพื่อนส่วนหนึ่งไปถึงบ้านเพื่อนคนที่ว่าแล้ว
โดยพวกผู้หญิงจะไปถึงกันก่อน
ส่วนพวกผู้ชายซึ่งส่วนใหญ่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์ มักตามกันไปทีหลัง
เมื่อเตรียมเสบียงกลัง ขนม และ ของใช้ที่จำเป็นเสร็จสรรพ
พูดง่ายๆ ว่า เป็นเบ้ ให้พวกผู้หญิงใช้ซื้อของให้นั่นแหละ
ไม่เป็นไร! พวกเราเต็มใจเป็นเบ้กันอยู่แล้ว!!
ส่วนพวกผมซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง และกรรมการนักเรียน
หลังจากเอาของไปให้พวกผู้หญิงรอบหนึ่งแล้ว
ต้องกลับไปอยู่เตรียมงานที่โรงเรียนเสียก่อน
จนเกือบหนึ่งทุ่ม งานที่โรงเรียนจึงเรียบร้อย
หลังจากนั้นจึงขับมอเตอร์ไซค์ตามมาสมทบ
พร้อมกับเพื่อนอีกคน..
จนกระทั่ง!
เมื่อเราได้ขี่รถมาถึงทางโค้ง ตรงป่าช้า และโรงเรียนนั้น
ก็เป็นเวลา เกือบๆ 2 ทุ่มแล้ว
และที่นั่น เราก็ได้เจอเพื่อนๆ ผู้ชาย ที่กลับจากการช่วยงาน
สวนทางมาตรงนั้นพอดี
เป็นมอเตอร์ไซค์ 3 คัน
เราก็ ชะลอทักทายกันตามปกติ แล้วผ่านเลยกันไป
มันช่วยทำให้บรรยากาศแถวนั้น ลดความน่ากลัวลงไปได้เยอะทีเดียว
เมื่อเจอคนมากๆ
พวกผม 2 คน มาถึงบ้านที่นัดรวมพล ราวๆ 2 ทุ่ม พอดี
หลังจากเอ็ดตะโร ทักทายกัน และมีเสียงต่อว่าให้แก้ตัวเล็กน้อยว่า
งานเสร็จแล้วถึงมานะ!?
อะไรประมาณนั้น!
พวกผมจึงต้องรีบเอาขนมขอขมา เสียงต่อว่าถึงจะสงบลงไปได้
หลังจากนั้นพวกเราก็คุยเล่นกันถึงเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อย..
จนถึงเวลาที่พวกที่ไม่ได้นอนค้างจะเอารถกลับ
ผมก็ถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่า
"แล้วไอ้พวก 6 คนที่กลับไปก่อนน่ะ มีใครบ้างเนี่ย?
ตอนสวนกันที่โค้งสังเกตไม่ทัน ดูเหมือนมีคนไม่รู้จักมาด้วยนะ!"
ผมว่า
พวกเพื่อนผู้หญิงพอได้ยินผมถามอย่างนั้นก็พากันหัวเราะ
แล้วบอกว่ายังไม่ทันแก่แต่นับคนผิดไปได้ยังไง
"พวกที่กลับไปมีกันแค่ 5 คนเอง !!"
เอาละสิ !
ผมหันไปมองเพื่อนที่มาด้วยกันทันที
โดยที่ไม่คิดสงสัยพวกผู้หญิงเลย
เพราะพวกเธอพูดเหมือนกันหมด
และผมก็ไม่แลเห็นว่าจะมีใครน่าจะอำกันเล่นด้วย
"เฮ้ย! มันมีกัน 6 คนนะ"
เพื่อนที่มาด้วยกันกับผมพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะ
เพราะคิดว่าพวกผู้หญิงคงจะล้อกันเล่น
ตามมาด้วยเสียงเพื่อนๆ ที่หัวเราะและค่อนแขวะเรายกใหญ่
ยกเว้นเจ้าของบ้านเท่านั้น ที่หน้าซีดลงทันที
ที่พอจับใจความได้ว่าอะไรเป็นอะไร?
พร้อมกับคำถาม ที่ผ่านลำคออย่างยากลำบาก
พอได้แค่พ้นออกมาจากริมฝีปากอันบอบบางออกมาว่า
"แกว่า..แกเจอมันที่ไหนนะ?"
น้ำเสียงสั่นเครือของผู้ถาม สะกิดให้ทุกคนหันควับไปมองทันที
"ก็ทางโค้งตรงโรงเรียนน่ะสิ"
เพื่อนที่มาด้วยกันกับผมตอบ
คราวนี้ ทั้งพ่อแม่และเพื่อนบ้านของเจ้าของบ้าน
ขยับตัวเข้าหากัน และหันไปมองที่คนพูดแทบจะเป็นตาเดียวกันทันที
จากนั้น ก็หันซ้ายหันขวา หันหน้ามองกันเป็นที่เลิ่กลั่กไป
"กลับไป 5 คนนะลูก ดูผิดกันหรือเปล่า?"
แม่ของเจ้าของบ้านถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
แสดงได้ถึงความใจดีได้เป็นอย่างดี
เสียงจ๊อกแจกจอแจที่คุยกันอยู่ เริ่มเงียบลงแล้ว
คล้ายกับทุกคนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา.. !!
เมื่อรำลึกถึงความทรงจำที่พึ่งผ่านมา..
ผมจำได้ดีว่า
ที่แล่นสวนผ่านเราไปเป็นรถมอเตอร์ไซค์ 3 คัน และ
เพื่อนที่นั่งสวนทางมากันนั้นมี 6 คนอย่างแน่นอน
คือ 2 คน ต่อมอเตอร์ไซค์ 1 คัน โดย ทุกคันมีคนซ้อนท้าย
แต่เพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
ผมจึงหันไปถามเพื่อนที่มาด้วยกันทันที
" 6 คน 3 คัน"
เสียงยืนยันหนักแน่นจากเพื่อนผู้ขับมา
สร้างเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ
พร้อมกับเสียงพึมพำ จากเพื่อนบ้านข้างๆ ดังขึ้นมาว่า
" เฮ้อ..เอาอีกแล้วโค้งนั้น !!!"
ครับ..!!
เอาอีกแล้ว !
เอาแล้วไง !!
เอาอะไรอีกแล้วละครับท่าน!?
เรื่องราวที่ถูกเล่าโดยชาวบ้าน มักจะเกินจริงเสมอ
อย่างน้อย ก็ผมคนหนึ่งละที่คิดแบบนั้น..
เรื่องอันยาวเหยียดของโค้งนั้น..!!
ถูกเล่าโดยชาวบ้านอย่างออกรสออกชาติ
ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนที่นี่จะเชื่อเรื่องนี้อย่างสนิทใจกันเลยทีเดียว
แต่ผมคงไม่เล่าเรื่องที่ชาวบ้านเล่าให้คุณได้ฟัง
เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมเจอกับตัวเอง
และใครจะไปอยากเชื่อเมื่อไม่เห็นจังๆ กับตัวเองละจริงไม๊ ?
แต่จะให้ไปพิสูจน์น่ะรึ ?
ใครมันจะไป !!
(..ก็ตอนนั้นมันดึกมากแล้วนี่นา.. ตะเอง..ก็... *o*)
ตกลง..
คืนนั้นพวกเราที่เหลือ ก็นอนกันซะที่นั่นละครับ
เล่นเอาที่นอนไม่พอเลยทีเดียว
ดีแต่ยังกระจายกันไปนอนได้อีก 3 หลังของเพื่อนบ้าน
บ้านนอกก็ดีอย่างนี้ละครับ มีน้ำใจ
แต่จะมีใครหลับลงบ้างอันนี้ผมก็ไม่ทราบ
เพราะบ้านหลังนั้นอยู่ห่างจุดเกิดเหตุ ไม่ถึงร้อยเมตรซะด้วยซ้ำ
ส่วนผมน่ะชวนเพื่อนกลับ
แต่เพื่อนคนขับขอหลับซะที่นี่แหละ ว่างั้น!
ไม่ไช่ว่าผมขับรถไม่เป็น
แต่ให้กลับคนเดียวมันก็กระไร..!!!
(เฮ่ย.. ไม่กลั๊ว จริงจริ๊ง หึหึหึ)
จนกระทั่งตอนเช้า..
เมื่อพวกเราไปถึงโรงเรียน
จึงมีโอกาสได้พบและสอบถามเรื่องที่สงสัย เอากับพวกที่กลับมาก่อน
ทั้ง 3 คัน ว่า
"ได้ไปรับใครมาระหว่างทางรึเปล่า ?"
แน่นอน!!
พวกนั้นปฏิเสธ
ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยซ้ำ
และยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า
กลับมากันแค่ 5คน เท่านั่น!!
แล้ว..
ผมจะหาคำตอบให้ตัวเองได้อย่างไร?
ว่า...
"ใคร?"
คือ
"อีกคน"
ที่พวกเราเจอกันในวันนั้น!
ผมคงไม่สงสัยอะไร!!
และ.. คงคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป!!!
ถ้า..ในวันนั้นมีผมแค่คนเดียวที่เห็นคนทั้ง 6 คน
แต่นี่!
เพื่อนที่มาด้วยกันมันก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
มันก็เห็น
เหมือนกัน
หนำซ้ำยังระบุชุดที่ใส่ได้ตรงกันกับผมอีก
คือ
ทุกคนจะใส่กางเกงนักเรียนขาสั้น
และสองคันแรกใส่เสื้อนักเรียนมีเพียงคันหลังคันเดียวเท่านั้น
ที่ทั้ง 2 คนใส่เสื้อยืดสีขาว
แต่จนแล้วจนรอด
ผมกลับนึกหน้าตาคนซ้อนไม่ออก
จะว่าไม่เห็นหน้าก็ไม่เชิงแต่มันราวกับว่า
แค่นึกหน้าไม่ออกเท่านั้นเอง...
อา... และใครที่คิดว่าเรื่องนี้จบแล้ว!!
ยัง..! ยังครับ!! เรื่องมันยังไม่จบ
หลังจากวันนั้นพวกเราก็ได้ไปที่บ้านหลังนั้นอีก
เพื่อเก็บของ
เพื่อนกลุ่มหนึ่งเจอกับชาวบ้านที่เคยมาคุยด้วย
ที่บ้านเพื่อนเจ้าของบ้าน
เลยจอดทักทายกันที่โค้งเจ้ากรรมนั่นละ!
เวลาก็ยังไม่มืดดีนักจากที่เพื่อนมันบอก
ตะวันยังไม่ตกดินซะด้วยซ้ำ..
พอมาถึงที่บ้านเพื่อน
ก็พบว่าบ้านใกล้ๆ กันนั้น กำลังมีการจัดงานศพกันอยู่
แต่..! ที่สำคัญ
รูปตรงหน้าศพน่ะ!?
ก็คนที่พวกมันพึ่งคุยมาด้วยก่อนเข้าบ้านนี่เอง...!?
อุบัติเหตุครับ!
รถพุ่งมาชนแกตรงทางโค้งนั่นแหละ
ตอนที่แกกำลังต้อนควายกลับบ้าน
ควายแกดันตื่นเตลิด วิ่งตัดหน้ารถปิกอัพ
คนขับตกใจหักหลบมาโดนแกพอดี
อะไรมันจะโชคร้ายขนาดนั้น!?
งานศพแกน่ะ! ผมเองก็ได้ไปช่วยด้วย
น่าเสียดายก็แต่..
วันนั้นผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่เจอกับแก
จึงเล่าเรื่องนี้ได้ไม่เต็มปากนัก
แต่เพื่อนผมคนนึงซึ่งเจอกันแกถึงกับจับไข้ไปเลย
(ไม่ถึงกับหัวโกร๋นนะครับ)
และ..ไม่ว่าคนที่พวกเพื่อนผมได้คุยด้วยนั้นจะเป็นใคร ?
และไม่ว่า "อีกคน" ที่ผมเจอจะเป็นอะไร ?
โค้งนั้นก็ยังคงอยู่ที่นั่น! อย่างนั้น!!
ส่วนตัวแล้ว
ผมเองก็อยากจะเชื่อว่า บางที
ที่นั้น โค้งนั้น
อาจจะยังอยู่เพื่อรอใครสักคนไปค้นหาคำตอบ
"ที่โดนจริงๆ จังๆ"
ก็เป็นได้
แม้ว่าโดยส่วนตัว
ผมจะยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลย
จนถึงทุกวันนี้
แม้จะได้มีโอกาสผ่านไปที่นั่น อีกหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม
แล้วคุณละ..!?
อยากอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
ส่วนในใจ ผมได้แต่แอบหวังเล็กๆ ที่จะรอคำตอบที่
" พวกคุณจะโดน " กันบ้าง
ส่งมาจากพวกคุณ ทุกๆ คน
ปัฐพี คเวสกรณ์
No comments:
Post a Comment